ภายหลังจาก คณะผู้พิพากษาศาลอาญา แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ พิพากษาว่า นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากรมีความผิด ฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี ส่วนน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิด เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี
“กรณีของนางเบญจา ในการช่วยเหลือไม่ให้บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องเสียภาษีจากการขายหุ้น ถือเป็นหนึ่งในหลายกรณีที่ คตส.ตรวจสอบเรื่องการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบเรื่องร่ำรวยผิดปกติ ของนายทักษิณ และเป็นผลทำให้มีการอายัดทรัพย์จำนวน 4 หมื่นล้าน กลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดินได้ จึงถือว่าการทำหน้าที่ของคตส.ที่ผ่านมาคุ้มค่าแล้ว
คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค .2558 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้นคนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย
source : http://deeps.tnews.co.th/contents/198091/
loading...
ล่าสุด นายสัก กอแสงเรือง อดีตกรรมการและโฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้แสดงความเห็นกับ “สำนักข่าวอิศรา” ว่า "ต่อจากนี้ถือเป็นเรื่องของกรมสรรพากร ที่จะต้องไปติดตามเรียกภาษีส่วนนี้คืนจากบุคคลทั้ง 2 และคงต้องไปสอบถามทางกรมสรรพากร ว่าติดตามเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว เพราะได้แจ้งถึงผลการพิจารณาของคตส.ไปนานแล้ว "“กรณีของนางเบญจา ในการช่วยเหลือไม่ให้บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องเสียภาษีจากการขายหุ้น ถือเป็นหนึ่งในหลายกรณีที่ คตส.ตรวจสอบเรื่องการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบเรื่องร่ำรวยผิดปกติ ของนายทักษิณ และเป็นผลทำให้มีการอายัดทรัพย์จำนวน 4 หมื่นล้าน กลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดินได้ จึงถือว่าการทำหน้าที่ของคตส.ที่ผ่านมาคุ้มค่าแล้ว
คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค .2558 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้นคนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย
source : http://deeps.tnews.co.th/contents/198091/