Showing posts with label สุขภาพ. Show all posts
Showing posts with label สุขภาพ. Show all posts

แตกตื่นทั้งโรงพยาบาล!!! มันมาอยู่ในท้องได้ยังไง พบก้อนเนื้อ 8 กิโล ในรังไข่หญิงไทย รีบเช็คภายในด่วนก่อนสายไป!!!

หญิงไทยเช็คกันหรือยัง เนื้องอกในรังไข่ รีบเช็คกันก่อนจะสาย เพราะ ตอนนี้ทางโรงพยาบาล ออกมาโพสต์ ภาพก้อนเนื้องอกที่ผ่าตัดเอาออกมาจากหญิงรายหนึ่ง ที่เป็นมานานมาก แต่ไม่รู้อาการ จนก้อนเนื้องอกโตก้อนใหญ่ถึง 8 กิโลกรัม งานนี้ทำเอาทั้งโรงพยาบาลแทบผวากันเลยทีเดียว ทางโรงพยาบาลจึงนำภาพเนื้องอกนี้ เผยแพร่ลงสื่อ ทำให้หลายๆคนต่างพากันแตกตื่น และแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก  เป็นแง่คิดให้ผู้หญิงหลายๆคนที่ไม่เคยไปตรวจสุขภาพออกมารับการตรวจที่โรงพยาบาล เรามาดูก้อนเนื้องอกกันก้อนมหึมานี้ และความคิดเห็นจากโซเชียลกันเลยดีกว่าจ้า

มันใหญ่มาก


อย่ามัวแต่อายหมอรีบไปตรวจซะ


ทนมาได้ยังไงให้มันโตขนาดนี้


ความคิดเห็นจากชาวเน็ต


เป็นได้ไง


น่ากลัวมากอ่ะ


เป็นผู้หญิงนี่ลำบากจริงๆ

เห็นแล้วเป็นไงกันบ้างค่ะสาวๆ อย่ามัวแต่อายไม่กล้ารับการตรวจนะ เพราะถ้าปล่อยไว้นาน มันอาจสายเกินแก้ หรือไม่ก็อาจเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้อีกต่อไปรักษาสุขภาพของเราไว้ให้ดีที่สุดนะคะ
ที่มา:http://ce.upyim.co/23499/

อุทาหรณ์!! เจ้าหน้าที่เภสัชกรรม ช็อกดับ หลังกินยาลดน้ำหนัก อันตราย ยี่ห้อนี้…



เป็นข่าวแชร์ว่อนเน็ตอีกแล้วสำหรับเรื่องยาอันตราย อย่างยาลดน้ำหนัก เพราะล่าสุดทางเพจ รพ.สต.ดงมูลเหล็ก เพชรบูรณ์ ได้ออกโพสต์แชร์ข่าว เรื่องเจ้าหน้าที่เภสัชกรรมช็อกดับ หลังกินยาลดน้ำหนักที่ได้มีการเพิกถอนทะเบียนไปแล้วในประเทศไทย เนื่องจากพบว่าเป็นยาอันตราย แต่ยังพบว่ามีการลักลอบขายและปลอมทะเบียนอยู่  โดยระบุข้อความว่า...
ขออนุญาตแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์นะคะ...
มี case เสียชีวิตจากผลิตภัณ์เสริมอาหารที่ใช้ลดความอ้วน ชื่อ Mang Luk เกิดขึ้นกับน้องจพ.เภสัชฯ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น

...เริ่มต้นจากน้องมีอาการชัก น้ำลายฟูมปาก เป็นลม หมดสติ คลำชีพจรไม่เจอ
หมอ พยาบาล จนท. ช่วยกัน CPR ร่วม 2 ชั่วโมงสุดท้ายยื้อไว้ไม่ได้ เบื้องต้นแพทย์วินิจฉัย MI , sudden cardiac arrest โดยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หลังจากสืบสาวราวเรืองและเชื่อมโยงข้อมูลแล้ว พบว่าสาเหตุเกิดจากยาลดนน.ยี่ห้อแมงลัก ซึ่งผสม sibutramine

ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ "แมงลัก" เป็นอาหารเสริมผสมยาอันตรายที่เพิกถอนไปแล้วในไทย กำลังระบาดหนักในกลุ่มผู้บริโภคที่หวังลดน้ำหนักซึ่งพบว่าผู้ที่ขายส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
สสจ.ขอนแก่นได้ดำเนินคดีตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ไปแล้ว ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในวงการสาธารณสุขของเราเองโดยมีโทษทั้งจำและปรับ แต่ยังพบการระบาดอยู่ทั่วไปในขณะนี้ จึงขอแจ้งมาเพื่อเฝ้าระวัง
และอยากให้เป็นกรณีศึกษา...เป็นอุทาหรณ์...ก่อนที่คนใกล้ตัวจะกลายเป็น..."เหยื่อ"
ช่วยกันเป็นหูเป็นตาด้วยนะคะ
รูปภาพเพิ่มเติม 
ลักษณะของแผงบรรจุยา
ยี่ห้อนี้
แบบชัดๆ

ลักษณะของแคปซูลยา
จากโพสต์ของทางเพจ รพ.สต.ดงมูลเหล็ก เพชรบูรณ์ 


แน่นอนว่าจากเรื่องนี้ เราได้รู้ว่ายาลดน้ำหนักอันตรายมากมายขนาดไหน แต่บางท่านอยากจะควบคุมน้ำหนัก เห็นโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อต่างๆ ที่มักเอาดารา พริตตี้หุ่นดีๆมาหลอกโฆษณาว่ากินแล้วดี ปลอดภัย แต่จริงๆแล้ว ยาลดน้ำหนักมันอันตรายมาก ทางทีดีของการลดน้ำหนักคือ การออกกำลังกาย และการควบคุมปริมาณอาหาร อย่าไปหลงเชื่อหลงซื้อยาอันตรายเหล่านั้นมาทานอย่างเด็ดขาดนะคะ

ที่มา:kaijeaw

ใครเลือดกรุ๊ปโอควรอ่าน! กรุ๊ปเลือดนี้เสี่ยงป่วยอะไร และห้ามกินอะไรมาดูกัน

คนเลือดกรุ๊ปโอควรอ่าน! กรุ๊ปเลือดนี้เสี่ยงป่วยอะไร และห้ามกินอะไรมาดูกัน!

บุคคลที่มีเลือดกรุ๊ปโอ ถือเป็นบุคคลกลุ่มพิเศษ เพราะว่าพวกเขาสามารถให้เลือดกับคนกรุ๊ปอื่นๆได้ (เม็ดเลือดแดงของกรุ๊ปโอ มีส่วนประกอบที่กรุ๊ปเลือดอื่นๆไม่มี) อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะรับได้แค่เลือดของคนในกลุ่มเดียวกันเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกคนที่มีเลือดกรุ๊ปโอจะเป็นเหมือนกันหมด พวกเขามีแนวโน้มที่จะติดเชื้อพิเศษบางอย่าง แต่พวกเขายังมีคุณลักษณะที่เป็นความสามารถบางอย่างที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นด้วย

- ความสามารถในการนำ การดำเนินการที่เป็นมืออาชีพ มีพลังสูงและความสามารถในการเป็นจุดศูนย์กลางที่เชื่อถือได้ ซึ่งคือความเป็นธรรมชาติที่ดีที่สุดของคนกรุ๊ปโอ พวกเขามีทั้งความสามารถและได้ทั้งผลประโยชน์

ในทางกลับกัน พวกเขากลับมีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคเฉพาะทางมากกว่าคนกรุ๊ปอื่นๆ ตัวอย่างเช่น เป็นแผล ต่อมไทรอยด์แตก ฮอร์โมนไทรอยด์มีระดับต่ำ และขาดแคลนไอโอดีน ความผิดปกติเหล่านี้อาจนำมาซึ่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัวมาก และบวมน้ำ

ในประเทศญี่ปุ่น คนที่มีหมู่เลือดกลุ่มโอ มักได้รับการจัดกลุ่มเฉพาะว่าเป็นที่น่าเชื่อถือ นายจ้างที่ญี่ปุ่นมักจะถามลูกจ้างถึงกลุ่มเลือดของพวกเขาว่าอยู่กรุ๊ปอะไร คนที่มีกรุ๊ปโอจะถูกมองว่าเป็นคนมีความสามารถ จงรักภักดี ใจเย็น ขยัน ระมัดระวังและทำงานเก่ง พวกเขาจะได้รับความเชื่อถือและเป็นที่วางใจมากกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่น นี่คือสิ่งที่นายจ้างจะมองหาเป็นอันดับแรกๆเพื่อดูว่าใครจะผ่านการประเมินผลและเอาตัวรอดได้

- สมาธิสั้นและไม่รอบคอบ เมื่อรู้สึกวิตกกังวลพวกเขาจะมีอารมณ์รุนแรง สมาธิสั้นและทำงานแบบสุกเอาเผากิน ไม่กินอาหารตามปกติ ขาดการทำกิจกรรมอย่างที่เคยทำ มีแนวโน้มว่าจะโชคร้าย และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะทำให้พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับกระบวนการเผาผลาญที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ยกตัวอย่างเช่น ความต้านทานต่ออินซูลิน การควบคุมการกระทำและความหนาของต่อมไทรอยด์

นอกจากนี้พวกเขายังมีฤทธิ์กัดกร่อนในกระเพาะอาหารมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่นๆ และมีแนวโน้มที่จะมีพัฒนามาเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอควรอยู่ให้ห่างจากคาเฟอีนหรือสุรา คาเฟอีนสามารถเป็นอันตรายได้เมื่อมันทำให้ระดับอะดีนารีนเพิ่มขึ้น ซึ่งมันจะมีสูงมากเป็นพิเศษในกลุ่มคนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ

ที่มา: share-si.com

หลายคนทำผิดมาทั้งชีวิต!! สระผมตอนเช้าหรือเย็นดีกว่ากัน มาดูคำตอบกัน

หลายคนทำผิดมาทั้งชีวิต!! สระผมตอนเช้าหรือเย็นดีกว่ากัน มาดูคำตอบกัน

ช่วงกลางวันทำงานยุ่งๆ คนส่วนใหญ่จึงชอบสระผมตอนกลางคืนหรือตอนรุ่งเช้าก่อนออกไปทำงาน งั้นควรสระผมตอนเช้าดี หรือตอนกลางคืนดีล่ะ ? การสระผมใช่ว่าจะสระแบบขอไปทีก็ได้นะ!

วันนี้จะมาแบ่งปันข้อมูลสำคัญในการสระผม 8 ข้อด้านล่าง ตั้งใจอ่านดีดีล่ะ!

1. เวลาที่ดีที่สุดในการสระผมคือตอนสามทุ่ม เพราะเวลาสี่ทุ่มถึงตีสอง เป็นช่วงการฟื้นฟูของเซลล์หนังศีรษะ ดังนั้นตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึงสี่ทุ่มจะเป็นช่วงที่เหมาะสมในการสระผม ในขณะที่ช่วงที่ไม่เหมาะที่สุดสำหรับการสระผมก็คือ หลังจากสี่ทุ่มถึงกลางวัน เพราะเป็นช่วงการผ่อนคลายของหนังศีรษะและไม่ควรได้รับการกระตุ้น

2. เป่าผมให้แห้งก่อนค่อยนอน การนอนหลับโดยที่ผมยังเปียกอยู่อันตรายมาก เช่น อาจเป็นหวัดได้ง่าย หนังกำพร้าได้รับความเสียหายง่าย ผมร่วงมากขึ้น ผมเสียง่าย เป็นต้น

3. อย่าหวีผมที่ยังเปียกอยู่ เพิ่งสระผมเสร็จ หนังกำพร้ายังคงอยู่เปิดอยู่ หากในเวลานี้หวีผมหลายๆครั้ง จะทำให้หนังกำพร้าได้รับความเสียหาย และทำให้ผมกรอบแห้งมากหลังจากผมไม่เปียกแล้ว

4. อย่าใช้เล็บเกาหนังศรีษะ การใช้เล็บเกาหนังศีรษะ อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่หนังศรีษะ วิธีที่ถูกต้องคือการใช้นิ้วกดนวดที่หนังศีรษะเบา ๆ

5. ไม่ควรเทแชมพูลงบนศรีษะโดยตรง ควรเทแชมพูในมือของคุณก่อน แล้วถูอย่างสม่ำเสมอค่อยสระผม หากเทลงบนหนังศีรษะโดยตรงอาจทำให้เกิดสารเคมีตกค้างและทำความสะอาดได้ไม่ดีเท่าที่ควร (ไม่ทำให้เกิดฟอง)

6. อุณหภูมิน้ำควรอยู่ที่ประมาน 40 องศา ใช้น้ำเย็นสระผมทำให้หนังศีรษะถูกกระตุ้นมากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียเส้นผมได้! น้ำที่ร้อนเกินไปก็อาจทำความเสียหายต่อรูขุมขนได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น อุณหภูมิน้ำที่ดีที่สุด คือ ประมาณ 40 องศา ร้อนกว่าอุณหภูมิของร่างกายเล็กน้อย

7. ไม่ควรสระผมบ่อยเกินไป เพราะการสระผมทำให้หนังกำพร้าเปิด กระบวนการที่หนังกำพร้าเปิดและปิดย่อมมีการสูญเสียบางอย่างไปดังนั้น การสระผมทุกวันไม่ได้ส่งผลดีต่อเส้นผม แต่บางคนที่ผมมันมากๆ ก็สามารถสระผมทุกวันได้ เพราะการรักษาความสะอาดสำคัญกว่า

8. เวลาสระผม ควรก้มศรีษะลงต่ำเล็กน้อย เวลาใช้แชมพู คนจำนวนมากมักยืนสระ ความแรงของน้ำจะกระทบด้านบนของศรีษะและอาจเป็นสาเหตุให้ผมตรงส่วนนั้นหลุดร่วงมากกว่าตำแหน่งอื่น วิธีที่ดีที่สุด คือ การก้มหัวลงสามารถลดแรงกระแทกของน้ำ และยังช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเลือดบนศรีษะได้ด้วย

เส้นผมที่สวยงามต้องคอยบำรุงรักษา ทุกคนต้องใส่ใจ การสระผมก็ต้องใช้ทักษะเหมือนกัน!

ที่มา:http://www.bedtaledidea.com/2016/11/blog-post_23.html

สูตรกระชาย + มะขามเปียก แก้ริดสีดวงทวาร หายขาด

สูตรกระชาย + มะขามเปียก แก้ริดสีดวงทวาร หายขาด

ริดสีดวงทวาร คือ การที่เส้นเลือดดำ รอบๆทวารหนักเกิดการโป่งพองขึ้น ทำให้เกิดอาการริดสีดวงทวารขึ้น ซึ่งอาการเริ่มต้นจะมีตั้งแต่คันที่ปากทวารหนัก จนไปถึงเจ็บทวารหนักเวลาขับถ่าย หรือบางทีมีเลือดปนมากับอุจจาระ ลักษณะเป็นเลือดสดๆหลังการขับถ่าย

จะว่าไปอาการค่อนข้างน่าตกใจน่ากลัวนะคะ ใครที่เคยเป็นคงทราบถึงความเจ็บปวดทุกทรมานกันดี สาเหตุที่เป็นนั้นส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการขับถ่าย หรืออาการท้องผูกเรื้อรัง ทำให้ต้องใช้กำลังในการเบ่งมาก จึงทำให้เส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักเกิดการโป่งพองจนกลายมาเป็นโรคริดสีดวงใน ที่สุด

เมื่อเรารู้จักโรคริดสีดวงทวารกันแล้ว เราก็มารู้จักวิธีแก้หรือทางรักษากันบ้างนะคะ ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี วิธีที่1คือทานยา ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือ การใช้สมุนไพรไทยเรานี่แหละ

สมุนไพรไทยที่จะแก้อาการริดสีดวงทวารก็มากมายหลายสูตร และหลายชนิด อยู่ที่ว่าสูตรไหนชนิดไหนใช้รักษาอาการริดสีดวงทวารที่เป็นมากหรือเป็นน้อย แตกต่างกันไป ซึ่ง"กระชาย–มะขามเปียก"เป็นสูตรรักษาอาการริดสีดวงทวารที่เพิ่งจะเริ่มเป็นใหม่ๆ ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง และไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามารู้จักสมุนไพรชนิดนี้กันเลยค่ะ

กระชาย หรือ BOESENBERGIA ROTUNDA (LINN) MANSF. อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE เหง้าและราก มีน้ำมันหอมระเหย CINEOL BORNEOL ใช้แต่งกลิ่นอาหาร แก้บิด แก้โรคในปาก เช่น ปากเปื่อย ปากแตกระแหง "กระโปกกระชาย" ต้มรวมกับ หญ้าขัดมอญ ดื่มต่างน้ำชาบำรุงเลือดแก้กามตายด้าน

มะขาม เป็น พืชที่มีถิ่นกำเนิดจากทวีปแอฟริกา แต่เข้าสู่ประเทศไทยมานานกว่า 700 ปี กระทั่งมีความเชื่อของคนไทยมาแต่โบราณว่าปลูกต้นมะขามไว้ทางทิศตะวันตกของ บ้านจะช่วยให้มีแต่คนเกรงขาม เราสามารถจำแนกมะขามออกเป็นมะขามเปรี้ยวและมะขามหวาน พันธุ์มะขามหวานที่นิยมกินฝักสด เช่น พันธุ์สีทอง น้ำผึ้ง ขันตี หมื่นจง ส่วนมะขามเปรี้ยวมักนำไปทำมะขามเปียก สามารถเก็บไว้ได้นาน ใช้ปรุงอาหารให้รสเปรี้ยวกลมกล่อม

ยอดอ่อนมะขามให้รสเปรี้ยว นิยมนำไปปรุงอาหาร มีวิตามินซีสูงกว่าส่วนอื่น ๆ ช่วยปกป้องตาจากสารอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุให้เลนส์ตาขุ่นมัว และช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคสูงขึ้น เนื้อมะขามมีกรดอินทรีย์อย่างกรดทาร์ทาริกและกรดซิตริก ซึ่งมีฤทธิ์ระบายและลดความร้อนของร่างกาย ใครมีปัญหาท้องผูกบ่อย ๆ ให้ลองกินมะขามสุกสัก 3-4 ฝัก แล้วดื่มน้ำอุ่นตามเยอะ ๆ รับรองเห็นผล แถมยีงช่วยขับเสมหะและลดอาการไอด้วย แคลเซียมนั้นมีมากที่ในฝักอ่อนและมีปริมาณรองลงมาในมะขามเปียกและยอดอ่อน ส่วนมะขามสุกจัดจนเป็นมะขามเปียกนั้นจะมีเส้นใยอาหารสูง

สรรพคุณทางยาที่มีมาแต่โบราณของมะขาม เช่น เนื้อในฝักแก่แก้อาการท้องผูก แก้ไอ ขับเสมหะ เป็นยาระบาย เนื้อมะขามเปียกข้น ๆ ผสมเกลือ กินขับเลือดที่ตกค้างของหญิงหลังคลอด เมล็ดแก่คั่วสุกกะเทาะเปลือก แช่น้ำเกลือให้พอง กินเป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือนหรือบดเป็นผงละลายน้ำ ปิดแผลในคนเป็นโรคเบาหวาน ใบแก่เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ ขับเลือดและลมในลำไส้ แก้โรคบิด เปลือกต้นต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องเดิน หรือใช้อมแก้เหงือกบวม แก้ฟันผุ

วิธีการรักษา ให้เอา "กระชาย" สด กับ "มะขามเปียก" อย่างละ 50 กรัม และ เกลือป่น 10 กรัม ไปต้มกับน้ำ 1 ลิตร จนเดือดดื่มก่อนนอนครั้งละ 3 ส่วน 4 แก้ว ดื่มทุกวันอาการที่เป็นจะค่อยๆดีขึ้นและหายได้ในที่สุด

เป็นยังไงบ้างคะ กับวิธีการรักษาริดสีดวงทวารโดยใช้ กระชาย-มะขามเปียก เห็นแล้วใช่ไหมคะว่าสมุนไพรไทยของเรามีประโยชน์มากมายจริง นอกจากจะใช้ปรุงอาหารให้อร่อยแล้วยังเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย สุดท้ายนี้ของฝากนิดนึงนะคะ หากใครเป็นโรคริดสีดวงทวารแล้วรักษาหาย ไม่ว่าจะทานยา หรือใช้สมุนไพรก็ตาม

ท่านยังมีโอกาศที่จะกลับมาเป็นอีก แนะนำวิธีป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือ ให้เปลี่ยนพฤติกรรมด้านการขับถ่าย โดยขับถ่ายให้สม่ำเสมอ และเป็นเวลา รับประทานอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานพวกผักผลไม้ที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ไข่เจียวดอทคอม ขอรับรองว่า ริดสีดวงทวารจะไม่กลับมาหาท่านอีกแน่นอนค่ะ

ที่มา:http://www.bedtaledidea.com/2016/11/blog-post_19.html

ทะลวงหลอดเลือดด้วยสมุนไพรใกล้ตัว จากภูมิปัญญาโบราณ!

 ชายชาวลอนดอนคนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อเขาไปประชุมที่ปากีสถาน เกิดมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างเฉียบพลัน แพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดหัวใจของเขา 3 เส้นอุดตันอย่างรุนแรง จำเป็นต้องผ่าตัดทำบายพาส. กำหนดการผ่าตัดคืออีก 1 เดือน ในช่วงระหว่างนั้นเขาไปพบหมอบำบัดมุสลิมโบราณ หมอบำบัดให้เขาทำยาทานเองที่บ้าน เมื่อทานครบ 1 เดือน
  ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลเดียวกันก่อนผ่าตัด พบว่าเส้นเลือดทั้ง 3 เส้นใสสะอาด ที่เคยอุดตันก็ถูกทะลวงออกหมด เพื่อช่วยให้คนอื่นได้รับประโยชน์ เขาได้บอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองบนอินเทอร์เน็ต รวมทั้งโชว์ภาพถ่ายเส้นเลือดของเขาก่อนและหลัง เพื่อให้แสดงความแตกต่างก่อนและหลังทานยา

    วัตถุดิบที่ใช้ …
    – 1 น้ำมะนาว 1 ถ้วย

       – 1 น้ำขิง 1 ถ้วย

       – 1 น้ำคั้นกระเทียม 1 ถ้วย

       – 1 น้ำส้มสายชูแอปเปิล 1 ถ้วย
    วิธีเตรียม..

       1.ลอกเปลือกกระเทียมและขิง หั่นขิงเป็นชิ้นบางๆ นำทั้งสองอย่างใส่เครื่องปั่นเครื่องคั้นน้ำผลไม้ ปั่นละเอียดแล้วเทลงบนผ้ากรอง เพื่อบีบน้ำคั้นออกมา

       2.นำน้ำคั้นกระเทียมและขิงลงไปในหม้อ เติมน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชูแอปเปิลลงไป ต้มจนเดือด แล้วค่อยๆเคี่ยวไปโดยไม่ต้องปิดฝาหม้อ เพื่อให้น้ำระเหยออก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จะได้ยาที่เคี่ยวแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณเริ่มต้น


 3.ตั้งทิ้งไว้จนอุณหภูมิลดลง ก็ให้เติมน้ำผึ้งลงไปผสมเพื่อให้ทานได้ง่าย (ใส่มากเท่าที่รสชาดพอจะทานได้)

       4.ใส่น้ำสมุนไพรนี้ในขวดแก้ว แช่ในตู้เย็นเก็บไว้

       วิธีรับประทาน : ทาน 1 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้าทุกวัน สามารถขจัดโรคหัวใจและหลอดเลือดให้หายขาดได้ คนทั่วไปยังสามารถใช้เป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง รวมทั้งป้องกันโรคหวัดและโรคภัยอื่นๆ ได้อีกด้วย
  เมื่อทานได้ 1 เดือน ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณจะพบหลอดเลือดสะอาด เส้นที่มีการอุดกั้นถูกทะลวงไปแล้ว ****สูตรลับนี้จะต้องบันทึกเก็บไว้นะครับ…! และต้องเผยแพร่ส่งต่อให้คนที่ท่านรักและปรารถนาดี! **** หมายเหตุ น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล มีจำหน่ายตามห้างต่างๆ เช่น ท๊อป แมคโคร
ทีมา http://kaijeaw.com/

จำไว้ว่า : ควรนอนตะแคงซ้ายเสมอ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม อ่านจบแล้วเปลี่ยนท่านอนเลย!

จำไว้ว่า : ควรนอนตะแคงซ้ายเสมอ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม อ่านจบแล้วเปลี่ยนท่านอนเลย!

มันคงทำให้คุณสนใจอย่างยิ่ง เมื่อได้รู้ว่าท่านอนของคุณส่งผลอย่างมากต่อระบบย่อยอาหาร ในสมัยโบราณ พระสงฆ์จะเอนตัวนอนลงหลังจากการฉันอาหารทุกมื้อเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
ในการแพทย์แผนตะวันออกโบราณ หรือที่รู้จักกันในชื่อ์แบบการแพทอายุรเวท กล่าวว่า เพื่อช่วยในการย่อยอาหารที่เหมาะสม คนเราควรนอนตะแคงซ้าย

จากคำแนะนำของการแพทย์แบบอายุรเวทกล่าวว่าคุณควรนอนตะแคงซ้ายเพื่อประโยชน์ทางด้านสุขภาพดังต่อไปนี้: 

* มันช่วยให้การย่อยอาหารทำงานได้อย่างเหมาะสม

* ช่วยให้เลือดไหลเข้าสู่หัวใจได้ง่ายขึ้น

* ช่วยให้น้ำดีไหลได้อย่างอิสระ

* ช่วยล้างสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากร่างกาย

* ส่งเสริมสุขภาพของม้าม

* ช่วยให้หัวใจส่งเลือดลงไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย

* ส่งเสริมการระบายน้ำเหลือง

ดังนั้นครั้งหน้าที่คุณเข้านอน ทำให้แน่ใจว่าคุณนอนด้วยท่าตะแคงซ้าย

สุขภาพของคุณสามารถดีขึ้นได้อย่างมาก เพียงแค่ปรับเปลี่ยนท่านอนด้วยวิธีง่ายๆเช่นนี้

อ้างอิง...naturalhealthcareforyou.com

แล้วจะหาว่าไม่เตือน! ถ้าไม่อยากเป็นโรคมะเร็ง บอกเลยว่า..ควรหยุดกินอาหารชนิดนี้!!

แล้วจะหาว่าไม่เตือน! ถ้าไม่อยากเป็นโรคมะเร็ง บอกเลยว่า..ควรหยุดกินอาหารชนิดนี้!!

นี่คือหนึ่งในอาหารที่เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดของโรคมะเร็ง คุณควรหยุดรับประทานมัน! ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ชอบทานฮอทดอก เป็นที่คาดการณ์ว่ามีฮอทดอกประมาณ 7 ร้อยล้านชิ้นที่ผู้คนบริโภคแค่ในช่วงซัมเมอร์เท่านั้น

ใช่! ฮอทดอกอาจจะอร่อยและเป็นอาหารจานด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การทำงานของคุณไม่สามารถหยุดนิ่งได้

อย่างไรก็ตาม มันได้รับการเปิดเผยว่าอาหารขยะรสชาติอร่อยนี้คืออาหารที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็ง
ฮอทดอกทำยังไง?

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับฮอทดอกคือกระบวนการการผลิต แต่ก่อนอื่นเรามาดูที่มาของอาหารขยะที่คุณชื่นชอบกันก่อนดีกว่า

เยอรมันบุก!

ผู้อพยพชาวเยอรมันมาพร้อมกับความคิดในการนำฮอทดอกกลับมายังนิวยอร์กในปี 1860

โดยทั่วไปแล้ว ฮอทดอกทำมาจากส่วนผสมของเนื้อหมู เนื้อวัว และไก่

เนื้อนี้จะถูกบด และใส่ลงในเครื่องโลหะ ที่ไก่ขูดจะถูกนำมาปรุงรสเพิ่มเติมด้วยอาหารประเภทแป้งเกลือ และเครื่องปรุงเลียนกลิ่นอื่นๆ

ความแตกต่างของแต่ละเครื่องปรุงจะขึ้นอยู่กับว่าฮอทดอกจะถูกนำไปขายที่ไหน เช่นเดียวกับที่คนจากภูมิภาคต่างๆในอเมริกามักจะมีความชื่นชอบในรสชาติที่แตกต่างกัน

ฮอทดอกจะถูกนำมาใส่น้ำและสารให้ความหวานเทียม ซึ่งพวกมันจะทำให้เนื้อเข้ากัน จนสามารถนำมาบรรจุใส่ในปลอกที่มีรูปร่างและขนาดเท่ากันได้

จากนั้นพวกมันก็จะถูกนำมาเรียงกันเพื่อพร้อมสำหรับการอบ เมื่ออบเสร็จมันจะถูกนำมาแช่ในน้ำเย็นผสมเกลือเพื่อเก็บรักษา และถูกบรรจุลงในบรรจุภัณฑ์

มันจะถูกปิดผนึกด้วยเครื่องจักร และจะต้องมีการตรวจสอบข้อบกพร่องอย่างสม่ำเสมอ

สุดท้าย ฮอทดอกที่ถูกแพ็คเรียบร้อยจะถูกนำไปส่งในร้านค้าต่างๆ หรือแม้กระทั่งในร้านอาหารหรือบ้านคุณเอง
ทำไมฮอทดอกถึงเป็นอันตราย?

เหตุผลที่ว่าทำไมฮอทดอกถึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ เราได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้แล้ว นั่นก็เพราะกระบวนการที่พวกมันถูกยัดเยียดให้ในระหว่างการผลิต

เครื่องปรุงเทียม

สารให้ความหวานเทียม

อาหารประเภทแป้ง

น้ำเชื่อมข้าวโพด

ผงชูรส

สารเติมแต่งเหล่านี้ ถูกใส่ลงไปในเนื้อแปรรูป ที่ซากสัตว์บางส่วนยังคงมีอยู่ เช่นขา กรงเล็บ ผิวหนังและไขมัน ซึ่งมีส่วนร่วมในการเพิ่มความเป็นกรดในร่างกายของคุณ และทำให้ร่างกายของคุณร้อนพอสำหรับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

คุณไม่สามารถแน่ใจอะไรได้เลยเกี่ยวกับส่วนประกอบที่ใส่เพิ่มเติมเข้าไปในฮอทดอก เพราะป้ายสินค้าของพวกมันก็แทบไม่ระบุอะไรให้คุณรับรู้

การศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาวายพบว่ากระบวนการแปรรูปเนื้อสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้มากถึง 67% เป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ!

คุณสามารถมั่นใจได้ 100% ว่าเนื้อสัตว์แปรรูปประกอบด้วยไนเตรต เช่นเดียวกับไนไตรต์ ซึ่งได้รับการกล่าวว่าจะนำไปสู่การเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ ตับอ่อน และมะเร็งกระเพาะอาหาร

มันถูกอ้างโดย "สถาบันเพื่อการวิจัยโรคมะเร็งแห่งอเมริกา" ว่าเมื่อคนๆหนึ่งมีการบริโภคฮอทดอกหนึ่งชิ้นในชีวิตประจำวัน บุคคลนั้นจะสัมผัสกับความเสี่ยง 21% ของการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ดังนั้นก่อนที่คุณจะไปร้านขายอาหารท้องถิ่นของคุณ และสั่งซื้อฮอทดอกมารับประทาน คุณอาจจะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพ และหันหาทางเลือกตามธรรมชาติที่ช่วยให้สุขภาพดีมากขึ้น

ที่มา : news.thaiza.com

ไม่อยากตาย เพราะมะเร็ง หมั่นสังเกตตัวเอง ซะตั้งแต่วันนี้

ไม่อยากตาย เพราะมะเร็ง หมั่นสังเกตตัวเอง ซะตั้งแต่วันนี้ 

 มะเร้งมะเร็ง…โรคร้ายที่ไม่มีวันล้าสมัย เพราะดูเหมือนจะมีคนที่ปวยด้วยโรคนี้มากขึ้นทุกที แม้จะมีหนังสือหนังหาว่าด้วยโรคมะเร็งตีพิมพ์ออกมามากมายในท้องตลาดอยู่แล้ว แต่เมื่อมีแง่มุมน่าสนใจใหม่ๆ ผู้เขียนก็ขออาสานำมาเล่าสู่กันฟัง โดยการรวบรวมข้อสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายเราอันอาจนำไปสู่โรคมะเร็งชนิดต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้พินิจพิจารณาตัวเอง และเตรียมการเยียวยารักษาไว้แต่เนิ่นๆ …เพราะโรคมะเร็งหากรับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โอกาสหายก็จะสูงมากทีเดียว
มะเร็งผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของ ไฝ ปาน หรือจุดตกกระในคนแก่ โดยจะมีอาการคันแตกเป็นแผล ไม่ยอมหายสักที ขอบแผลอาจมีสีดำ กระทั่งในระยะหลังจะโตเร็ว และมีเลือดออก

มะเร็งทางเดินอาหาร เริ่มจากในช่องปากจะมีแผล โดยเริ่มจากฝ้าขาวๆ จากนั้นจะรู้สึกเจ็บบริเวณหลอดอาหาร กลืนอาหารอย่างลำบาก เจ็บหรือกลืนไม่ลง ถ้าเป็นบริเวณกระเพาะอาหาร อาจจะเริ่มจากแผลในกระเพาะอาหาร โดยมีอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ มักจะเริ่มจากมีอาการท้องผูกสลับกับท้องเดิน อุจจาระเป็นมูกเลือด เหล่านี้เป็นต้น

มะเร็งระบบทางเดินหายใจ เริ่มจากมีอาการเสียงแหบ ไอ มีเสมหะปนเลือด เจ็บแน่นหน้าอก หอบเหนื่อย หน้าและคอบวม

มะเร็งระบบน้ำเหลือง จะมีก้อนจากการโตของต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ และในช่องท้อง

มะเร็งของระบบเลือด จะมีอาการอ่อนเพลีย ซีดจากโลหิตจาง เลือดออกง่าย โดยเฉพาะใต้ผิวหนัง อาจพบจ้ำเลือด หรือเป็นรอยช้ำได้

มะเร็งระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ในเพศหญิง บริเวณเต้านมจะเริ่มมีก้อน มีเลือด หรือน้ำเหลืองออกจากหัวนม มีแผลหรือคันบริเวณอวัยวะเพศ มีตกขาว หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด มีการผิดปกติของประจำเดือน ในเพศชาย จะมีแผลที่อวัยวะเพศคล้ายแผลจากกามโรค มีปัสสาวะขัด เกิดก้อนที่อัณฑะ เป็นต้น

ถ้าสงสัยว่าตัวเราน่าจะเข้าข่ายก็อย่ารอช้า ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัดเสียนะคะ โรคมะเร็งไม่มีการรอวันพรุ่งนี้ ถ้ารู้ตัวและรักษาเสียแต่วันนี้อาจหายขาดได้ค่ะ

เครดิต: aroka108.com
share-si.com

ผงชูรส ภัยเงียบที่คุณคาดไม่ถึง!!

  เป็นที่รู้กันดีว่ามีการใช้ “ผงชูรส” อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะในอาหารฟ้าดฟู้ด อาหารสำเร็จรูปต่างๆ อาหารที่ปรุงขายตามท้องตลาด หรือแม้กระทั่งในครัวเรือนของใครหลายๆ คน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าผงชูรสนั้นไม่มีประโยชน์ทางด้านสารอาหารใดเลย ตรงกันข้ามหากสะสมในร่างกายก็นำมาซึ่งอันตรายและโรคภัยต่างๆ ผงชูรสคืออะไร มีอันตรายอย่างไร ไปดูพร้อมกันค่ะ
 ผงชูรสคือ
     ผงชูรสอาจผลิตจากแป้งมันสำปะหลังก็จริง แต่กระบวนการหมักและต้องใช้สารเคมีหลายตัว เช่น กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟูริค กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก ยูเรีย โซดาไฟ เป็นต้น ซึ่งมีการศึกษาพบว่า อันตรายของผงชูรสนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม และ พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรส
 >> ภัยอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม
ด้วยผงชูรสมีปริมาณโซเดียมสูงและไม่มีรสเค็มให้รับรู้ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อไปนี้
    – ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง
    – เป็นอันตรายต่อสมองเด็ก สะสมจนเมื่อโตขึ้นจะมีโอกาสทำให้ปัญญาอ่อนได้
    – อันตรายต่อหญิงมีครรภ์ทำให้ร่างกายบวม และยังมีพิษภัยต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
    – ทำให้ผู้ที่มีโรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ อาการแย่กว่าเดิม
>> ภัยอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้
    – อาการแพ้ผงชูรส จะรู้สึกชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก ในบางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก
    – ทำลายสมองส่วนหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง ทั้งในเรื่องขนาดและน้ำหนัก
    – ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้ มีการทดลองในสัตว์พบว่ายิ่งอายุน้อยจะยิ่งเกิดผลร้ายมาก
    – ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้
    – ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง อย่างเช่นวิตามินบี-6 หากขาดจะทำให้ร่างกายเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย
    – เสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้
    – ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง เสี่ยงต่อประสาทเสื่อมหรือซึ่งอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
    – มีผลเปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง จมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น
    – หญิงตั้งครรภ์ที่ทานผงชูรส อาจส่งผลกระทบกับทารกในครรภ์ได้เช่นกัน

    ที่น่าเป็นห่วงคือ มีการโฆษณาจากผู้ผลิต เชิญชวนให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ผงชูรส กันอย่างแพร่หลายตามสื่อต่างๆ จนผู้รับสื่อเห็นการใช้ผงชูรสเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอันตรายอะไร ทางที่ดีคือการเลี่ยงผงชูรส ปรุงอาหารทานเอง หากจำเป็นต้องไปทานอาหารนอกบ้านให้กำชับที่ร้านไม่ให้ใส่ผงชูรส และอย่าลืมบอกและเตือนคนที่คุณรู้จักด้วยนะคะ

โดย : Kaijeaw.com

8 วิธีกำจัดเสมหะ เคลียร์ลำคอให้โล่ง หายใจสะดวกขึ้น

8 วิธีกำจัดเสมหะ เคลียร์ลำคอให้โล่ง หายใจสะดวกขึ้น

วิธีกำจัดเสมหะ เคลียร์ลำคอให้โล่ง เพิ่มพื้นที่ในการหายใจให้คล่อง ไม่อยากรำคาญเพราะเสมหะต้องลองจัดวิธีเหล่านี้
อาการมีเสมหะในลำคอสร้างความรำคาญและทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวก ใครมีเสมหะข้นเหนียวอยู่ในลำคอแบบนี้คงไม่ค่อยแฮปปี้กันเท่าไร งั้นมากำจัดเสมหะกันดีกว่า

และสำหรับเคสที่ขับเสมหะไม่ออก นอกเหนือจากการทานยาละลายเสมหะแล้ว อาจลองวิธีเหล่านี้เป็นตัวช่วยดู
1. ดื่มน้ำเยอะขึ้น ในกรณีที่รู้ว่ามีเสมหะในลำคอเพราะอาการป่วย เคสนี้อาจจะลองบรรเทาด้วยการดื่มน้ำให้เยอะขึ้นก่อน โดยเลือกดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำอุ่น เพื่อให้น้ำช่วยละลายเสมหะ พร้อมทั้งกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันร่างกายไปด้วย

2. ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำอุ่น น้ำซุป หรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ ชนิดอื่นก็สามารถดื่มเพื่อขจัดเสมหะได้ เพราะน้ำอุณหภูมิสูงกว่าปกติจะช่วยละลายเสมหะในลำคอได้ไม่มากก็น้อย

3. กินอาหารรสชาติเผ็ดร้อน ถ้าไม่มีปัญหากับรสชาติเผ็ด ให้ลองกินอาหารรสชาติจัดจ้าน อย่างต้มยำ แกงเลียง ยำ หรือน้ำพริกก็ได้ สมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้ รวมทั้งน้ำซุปร้อน ๆ จะช่วยขับเสมหะและช่วยเปิดทางให้ระบบหายใจคล่องตัวมากขึ้น ทว่าสำหรับคนที่กินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แนะนำเป็นต้มจืดร้อน ๆ สักถ้วยก็ได้ค่ะ

4. กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ ผสมเกลือ 1/4 ช้อนชากับน้ำอุ่น 1 แก้วใหญ่ จากนั้นนำมากลั้วคอ โดยให้เงยหน้าขึ้นระหว่างที่กลั้วคอด้วย เกลือจะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบในลำคอ รวมทั้งน้ำอุ่นก็จะช่วยละลายเสมหะไปด้วยในตัว

5. กลั้วคอด้วยน้ำโซดาแช่เย็น หากไม่สะดวกจะใช้น้ำเกลือกลั้วคอ จะใช้โซดาเปล่าแช่เย็นแทนก็ได้ ความซ่าของโซดาจะทำให้เสมหะลดน้อยลง โดยเฉพาะช่วยลดการกระแอมไอในคนที่รู้สึกว่ามีเสมหะค้างอยู่ในลำคอตลอดเวลา

6. ไอให้เสมหะออก กรณีนี้แนะนำสำหรับผู้ที่มีเสมหะในลำคอเท่านั้นนะคะ เพราะหากมีเสมหะค้างอยู่ในปอดจะกระแอมไอแบบนี้ไม่ได้ และการไอเพื่อกำจัดเสมหะก็ควรต้องไออย่างมีประสิทธิภาพ คือ สูดลมหายใจเข้าทางจมูกให้มากที่สุด เพื่อให้ลมหายใจเข้าไปอยู่หลังเสมหะ สังเกตได้จากทรวงอกจะขยายโดยที่ไหล่ไม่ยก และคอไม่ยืด กลั้นหายใจไว้สักครู่แล้วไอให้แรงพอสมควร ซึ่งต้องคำนึงถึงว่าลมที่อยู่หลังเสมหะจะกระแทกเสมหะให้ขึ้นมาตามหลอดลม จากนั้นก็จัดการบ้วนเสมหะทิ้งให้เรียบร้อย

7. หายใจเข้า-ออกลึก ๆ พยายามหายใจเข้า-ออกลึก ๆ ติดต่อกันเซตละ 5-7 ลมหายใจ วิธีนี้จะช่วยให้ถุงลมขยายใหญ่และฟีบสลับกันโดยไม่กระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่จะช่วยให้ถุงลมที่มีเสมหะเกาะอยู่เคลื่อนตัวจากการพองและแฟบของถุงลม ซึ่งอาจทำให้เสมหะหลุดออกจากถุงลม และง่ายต่อการระบายสู่หลอดลมใหญ่

8. กำจัดเสมหะด้วยสมุนไพร แค่สมุนไพรจากอาหารรสจัดจ้านก็สามารถช่วยละลายเสมหะให้เราได้บ้างแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าหากต้องการใช้สมุนไพรกำจัดเสมหะลเพียว ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยสามารถใช้ทั้งมะนาว มะแว้ง มะขามป้อม และสมุนไพรกำจัดเสมหะตามนี้เลย

- สมุนไพรแก้ไอ ขจัดเสมหะ ได้รู้วิธีกำจัดเสมหะที่ทำตามไม่ยากเย็นแบบนี้แล้วก็อย่าปล่อยให้เสมหะลอยนวลกันอีกเลย จัดการเคลียร์ทางเดินหายใจให้คล่องตัวโดยเร็วกันดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก..http://www.share-si.com/2016/04/8_30.html

เช็คด่วน! ใครชอบปวดตามข้อแขน ขา ฯลฯ อาจกำลังเจ็บป่วยด้วยโรคต่อไปนี้ได้

ใครชอบปวดตามข้อแขน ขา ฯลฯ อาจกำลังเจ็บป่วยด้วยโรคต่อไปนี้

พูดถึงอาการปวดตามข้อ หลายคนที่มีอาการนี้คงรู้ดีว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่ทรมานและน่ารำคาญมากแค่ไหน ถ้าใครยังมีสุขภาพแข็งแรงคงไม่มีวันรู้ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการปวดข้อ ลองสังเกตดูว่าอาการปวดนั้นเป็นอย่างไร เพราะบางทีมันก็ไม่ใช่แค่การปวดธรรมดาๆ แต่อาจจะเป็นหนึ่งในอาการของโรคที่น่าหวาดผวาก็เป็นได้
ปวดแบบนี้…เป็นโรคอะไร ?

อาการปวดข้อเกิดขึ้นที่บริเวณโคนนิ้วมือ

บริเวณที่ปวดนั้นมีลักษณะบวมแดงร้อน และมักเป็นเหมือนกัน และเป็นพร้อมกันทั้งข้างขวาและซ้าย

เมื่อแรกเป็นจะเริ่มปวดทีละน้อย แต่จะค่อยๆ เพิ่มความเจ็บปวด ที่ข้อดังกล่าวมากขึ้น

เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ผู้ป่วยมักจะมีอาการนิ้วแข็งนานกว่าครึ่งชั่วโมง จึงจะค่อยๆ ทุเลาลง

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : โรคปวดข้อรูมาตอยด์

อาการปวดข้อเกิดขึ้นที่บริเวณข้อสันหลังบริเวณเอวและคอ และข้อเชิงกราน

รู้สึกว่าข้อสันหลังแข็ง

ก้มตัวไม่ค่อยได้

เมื่อตื่นเช้าจะมีอาการปวดเมื่อยข้อสันหลังแข็งเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : ข้อสันหลังอักเสบแข็ง

อาจปวดข้อบริเวณใดบริเวณหนึ่งเพียงข้อเดียว หรือหลายข้อ

อาการปวดที่เกิดขึ้นมักเกิดที่ข้อหัวเข่าเป็บส่วบใหญ่

มีอาการติดเชื้อในร่างกายบริเวณอื่น

มีไข้สูงเกิดขึ้นพร้อมกับอาการปวด

ลักษณะการปวดคล้ายผู้ป่วยโรคเกาต์ แต่โรคเกาต์มักเกิดกับผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี ในขณะที่อาการปวดนี้สามารถเกิดกับผู้ที่มีอายุน้อยกว่านั้นได้

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : ติดเชื้อบริเวณข้อ
มีอาการปวดข้อ ร่วมกับประวัติอาการ ดังต่อไปนี้

มีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์

มีประวัติของอาการปัสสาวะขัด

มีประวัติของอาการปัสสาวะเป็นหนอง

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : โรคข้อหนองใน

อาการปวดข้อที่เกิดขึ้นมักจะปวดหลายข้อ แต่บางรายก็ปวดเพียงข้อเดียวได้เช่นกัน โดยมักเกิดที่บริเวณข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า เหมือนกันทั้งสองข้าง

มีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์

มีประวัติของอาการปัสสาวะแสบขัด

บริเวณหัวขององคชาตอักเสบ แดง แต่ไม่เจ็บปวด

มีอาการตาแดง

มีแผลช่องปากแต่ไม่เจ็บ

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : โรคไรเตอร์ (อาการภูมิแพ้ที่เกิดหลังการมีเพศสัมพันธ์)

มีอาการผิดปกติทางผิวหนัง เริ่มแรกจะเป็นตุ่มแดง มีขอบชัดเจน และมีขุยสีขาวอยู่ที่ผิว ต่อมาตุ่มนี้จะค่อยๆ ขยายออกไปจนกลายเป็นปื้นใหญ่และหนา ส่วนขุยสีขาว
ที่ผิวก็จะหนาตัวขึ้นเช่นกันจนเห็นเป็นเกล็ดสีเงิน

มีอาการปวดข้อ โดยอาจจะปวดหลายข้อ ซึ่งจะปวดเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ทั้งสองข้าง

มีอาการติดเชื้อในร่างกายบริเวณอื่น

ที่เล็บจะปรากฎจุดบุ๋มหลายๆ จุดเกิดขึ้น

อาการทั้งหมดจะริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ เป็นมากขึ้น

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : โรคสะเก็ดเงิน (โรคผิวหนังชนิดหนึ่ง)

เมื่อปวดข้อ และมีอาการอื่นร่วมด้วย

รู้สึกปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกหรือข้อ

มีไข้สูงอย่างฉับพลัน

ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา

มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายหรือมีเลือดออกตามผิวหนัง ตาแดง

อาจมีอาการคันร่วมด้วยในบางราย

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : โรคชิคุณกุนยา

อาการปวดนั้นเกิดขึ้นบริเวณนิ้วมือ มือ และข้อมือ บางรายอาจจะปวดขึ้นไปจนถึงไหล่ หรือต้นคอก็ได้

มีอาการชาที่มือและนิ้ว โดยเฉพาะที่นิ้วชี้และนิ้วกลาง แต่บางครั้งอาจรู้สึกชาทั้งมือ

มีความรู้สึกเสียวปลายนิ้วซ่าๆ คล้ายโดนไฟฟ้าช็อต หรือรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ฝ่ามือ และปลายนิ้ว

ฝ่ามือไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง มักทำของตกหล่นบ่อยๆ กำมือได้ไม่แน่น

อาการที่เกิดเหล่านี้อาจจะเกิดที่มือข้างใดข้างหนึ่ง หรือเกิดกับมือทั้งสองข้างพร้อมๆ กันก็ได้เช่นกัน

อาการเหล่านี้มักจะเกิดบ่อยๆ ในเวลากลางคืน

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : กลุ่มอาการเส้นประสาทถูกกดทับ

มีอาการปวดข้ออย่างเฉียบพลันที่ข้อเดียวก่อน จากนั้นหากปล่อยไว้ก็จะลุกลามไปปวดที่ข้ออื่นๆ ด้วย

บริเวณที่ปวดมักจะเป็นนิ้วหัวแม่เท้า ข้อมือ ข้อเข่า เวลาปวดจะรู้สึกเจ็บมาก หากเป็นที่เท้าจะเดินไม่ค่อยไหว

มีการบวม ผิวหนังตึง ร้อนและแดงตรงบริเวณที่ปวด

มักมีอาการดังกล่าวเมื่อรับประทานอาหารจำพวก มะเขือ แตงกวา และสัตว์ปีก เป็นต้น

>> มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น : โรคเกาต์

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาการปวด และโรคที่พบบ่อยและน่าสนใจ หากคุณรู้สึกปวดตามข้อหรือกระดูกแต่มีอาการร่วมไม่พ้องกับที่กล่าวมา ก็ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาทันที โรคใดก็ตาม เมื่อรู้ตัว ป้องกัน และรักษาเสียแต่เนิ่นๆ โอกาสหายก็มีมากขึ้นตามไปด้วยนะคะ

ข้อมูลจาก thaiza
share-si.com

สุดยอดวิธีกำจัดจุดกระบนใบหน้า มือ ไหล่แขน ง่ายๆ และได้ผล ด้วยส่วนผสมที่น่าทึ่งนี้

สุดยอดวิธีกำจัดจุดกระบนใบหน้า มือ ไหล่แขน ง่ายๆ และได้ผล ด้วยส่วนผสมที่น่าทึ่งนี้

เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น คุณจะเริ่มสังเกตเห็นจุดบนผิวของคุณ มันมีขนาดเล็กสีน้ำตาลอ่อน ส่วนใหญ่จะปรากฏบนมือ ไหล่แขน ใบหน้า และมักจะพบตามส่วนต่างๆของร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดอยู่เป็นประจำ ซึ่งมันทำให้ดูน่าเกลียด

ทำไมเราถึงมีจุดนี้เมื่ออายุมากขึ้น?

ทุกคนมักสัมผัสกับแสงแดดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเราจะใช้ครีมกันแดดที่ดีที่สุดแล้วก็ตาม เมื่อเราสัมผัสกับแสงแดดมาเป็นระยะเวลานานกับอายุที่เริ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการสร้างเมลานินซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีจุดสีน้ำตาล จริงอยู่แสงแดดเมื่อสัมผัสกับผิวจะผลิตเมลานินที่เพิ่มขึ้นซึ่งช่วยให้เรามีผิวสีแทน แต่การที่ได้รับมากเกินไปทำให้เกิดอันตรายและเกิดจุดกระบนผิวหนังได้

เราสามารถยับยั้งจุดเหล่านี้เมื่ออายุมากขึ้นได้หรือไม่

เมื่อเวลาที่ต้องสัมผัสกับแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ ทุกครั้งและสวมหมวก หากคุณเคยสัมผัสกับแสงแดดตรงๆจนผิวหนังไหม้เกรียมก็มีแนวโน้มที่เกิดจุดเหล่านี้ได้

จุดมาพร้อมกับอายุที่มากขึ้นจะเป็นอันตรายหรือไม่

พวกมันไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ นอกเสียจากว่าจุดมีการโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและเปลี่ยนสีคุณควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังของคุณทันที

สังเกตุดูว่าถ้ามีจุดแบบนี้เกิดขึ้นคุณควรไปพบแพทย์

จุดเปลี่ยนสี
จุดเปลี่ยนขนาด
มีผิวไม่เรียบหรือผิวขรุขระ
จุดเติบโตอย่างรวดเร็ว มีอาการคัน มีสีแดง รู้สึกเจ็บหรือมีเลือดออก

สามารถกำจัดจุดเหล่านี้ได้หรือไม่
มีการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยคุณได้ อาทิเช่น การลอกผิวด้วยสารเคมี การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือการฟอกขาว การรักษาเหล่านี้มีราคาแพงและอาจมีส่วนผสมที่เป็นพิษ

ลองรักษาจุดกระของคุณด้วยสูตรโฮมเมดนี้

มีสูตรโฮมเมดที่น่าทึ่งที่ถูกคิดค้นโดย Dr. Doug Willen และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง quantum paleo มันเป็นวิธีธรรมชาติและให้ผลอย่างรวดเร็ว และคุณอาจมีส่วนผสมทั้งหมดนี้อยู่ในตู้กับข้าวของคุณแล้วก็ได้

ส่วนผสม

หัวหอม 1 หัว
น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์

ทำไมต้องใช้หัวหอม?

หัวหอมมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย

ทำไมต้องใช้น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์?

น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ทำหน้าที่อย่างน่าอัศจรรย์ มันช่วยยับยั่งกรดอัลฟาไฮดรอก กำจัดผิวที่ตายออกไปช่วยดูแลสุขภาพผิวภายในให้ดีขึ้น

วิธีทำ

ปอกเปลือกหัวหอมและหั่นเป็นชิ้นๆ
นำหัวหอมใส่ครกแล้วโขลก
จากนั้นนำหัวหอมใส่ในเครื่องปั่น
เติมน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ลงไปเล็กน้อย
ผสมให้เข้ากันดี
นำใส่ขวด
ทาลงบนจุดกระของคุณด้วยสำลี
ทำซ้ำทุกวัน หนึ่งถึงสองสัปดาห์
คุณจะสังเกตุเห็นว่าจุดมีขนาดเล็กลงและหายไป

โดย : rak-sukapap.com

วิธีย้อมสีผมธรรมชาติด้วยกาแฟ ทำง่าย ได้สีผมสวย ไม่เสี่ยงมะเร็ง

วิธีย้อมสีผมธรรมชาติด้วยกาแฟ ทำง่าย ได้สีผมสวย ไม่เสี่ยงมะเร็ง

ข้อมูลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์มักจะบอกว่าน้ำยาย้อมสีผมนั้นมีส่วนผสมของเคมีหลายชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นอาจก่อให้เกิดเซลล์มะเร็งผิดปกติได้

จำนวนผู้หญิงกว่า 87 - 100 คนที่ทำสีผมมานานถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งจำนวนผู้ป่วยที่ย้อมสีผม 1 - 4 ครั้งต่อปี ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ร้อยละ70

ผลิตภัณฑ์จากธรรชาติก็อาจจะทำให้สีผมอยู่ได้ไม่นาน ถึงอย่างไรมันก็มีส่วนช่วยในการทำให้เส้นผมแข็งแรงและปกป้องเส้นผมของคุณ ตามที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติตรวจพบว่ามีส่วนผสมของสารเคมีกว่า 500 ชนิดในน้ำยาย้อมผมและเกือบทั้งหมดนั้นเป็นสารก่อมะเร็ง โห! เมื่อรู้ก็รู้สึกแย่เลยใช่ไหมละ
กาแฟ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติอาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณคาดไม่ถึง มันจะช่วยส่งผลดีๆต่อเส้นผมของคุณไม่พอยังทำให้ผมงอกยาวเร็วมากขึ้น

ในปี 2007 มีการศึกษาและตีพิมพ์ลงนิตยสารต่างประเทศด้านโรคผิวหนังฉบับเดือนมกราคมว่า “กาแฟสามารถสร้างเรื่องตกตะลึงได้เมื่อนำไปบำรุงเส้นผมให้ยาวขึ้น”
แล้วถ้าจะใช้กาแฟย้อมสีผมละทำอย่างไร?

1.เตรียมกาแฟออแกนนิคตัวฤทธิ์แรงอย่าง เอสเพรสโซ่ เพราะหากไม่ใช้แบบออแกนนิคละก็ไม่พ้นเจอสารเคมีอีกแน่ๆ

2.ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง

3.ใส่กาแฟออแกนิค 2 ช้อนชากับครีมนวดผมแบบธรรมชาติ 2 ถ้วยลงไปผสมกัน และกาแฟที่เย็นแล้วอีกหนึ่งถ้วยเตรียมไว้

4.นำที่ผสมไว้ชโลมใส่บนเส้นผมของคุณให้ทั่ว ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง การย้อมธรรมชาตินี้จะทำให้สีผมของคุณโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นผมเลยแหละ ทีนี้คุณก็จะได้สีผมสีน้ำตาลช็อคกาแลตเข้มมาอย่างไม่น่าเชื่อเลยละ

วิธีล้างกาแฟ

1.ล้างผมด้วยน้ำยาสระผมจากนั้นนำกาแฟที่เย็นแล้วที่เตรียมไว้ขั้นต้นล้างตาม

2.ทิ้งไว้อีก 20 นาที

3.ใช้น้ำส้มสายชูล้างผมจะทำให้สีติดคงทนยิ่งขึ้น

4.ล้างผมอีกครั้งด้วยน้ำอุ่น ถ้าสียังไม่ติดทั่วหรือสียังไม่สวยเท่าที่ต้องการก็ลองทำซ้ำอีกครั้งก็ได้ตามความสวยที่คุณต้องการ

ที่มา: news.thaiza.com

สุดยอดมาก! แค่ทำท่านี้ อาการปวดหลัง ปวดคอ ก็หายทันที

สุดยอดมาก! แค่ทำท่านี้ อาการปวดหลัง ปวดคอ ก็หายทันที
โยคะแก้ปวดหลัง สามารถทำได้เองที่บ้าน

จากครั้งที่แล้วเรามี โยคะพิชิตปวดหลังด้วย 3 ท่าง่ายๆ มาฝากกัน วันนี้เรายังคงจะแนะนำวิธีแก้อาการปวดหลังด้วยโยคะเช่นเดิมนะคะ หลายๆคนต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ทำให้เราถูก freeze ให้นั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน จนเริ่มปวดบ่า ปวดไหล่ใช่ไหมคะ โดยเฉพาะข้างที่ต้องใช้เม้าส์ในการทำงานจะมีอาการปวดมากกว่าข้างอื่น จนบางครั้งอาจรู้สึกเจ็บจี๊ด เมื่อมีการยกแขน หรือแค่เอี้ยวตัว อาการเหล่านี้เป็นอาการของ โรคติดงาน (Workaholic)” หรือ “โรคออฟฟิศซินโดรม (OfficeSyndrome)” ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า “โรคบ้างาน” ซึ่งพบได้มากในปัจจุบันไม่ว่าจะในผู้หญิง หรือผู้ชาย หากว่ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเราควรปรับพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อป้องกันอาการระยะยาวที่จะตาม
สำหรับวันนี้เรามี clip การทำโยคะง่ายๆที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อมานำเสนอกันค่ะ เป็นคลิปสั้นๆเหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลามาก
ทีมา share-si.com

สูตรยาสมุนไพร รักษาหัวเข่าไม่มีแรง!!

 ยาสมุนไพรรักษาหัวเข่าไม่มีกำลัง อาการหัวเข่าไม่มีแรง

     อาการหัวเข่าไม่มีแรงก็เกิดขึ้นมาได้ ซึ้งนับว่าเป็นอาการที่สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ป่วยเป็นอันมาก เพราะการเดินไปไหนมาไหนก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก และเกิดปัญหาเสมอเมื่อเคลื่อนที่ทุดครั้ง ผู้ป่วยที่เป็นเช่นนี้หมอพื้นบ้านหรือแพทย์แผนโบราณของไทยเรา ท่านก็นำภูมิปัญญาของท่านมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ดี โดยปรุงยาสมุนไพรรักษาอาการหัวเข่าไม่มีเรี่ยวแรงได้อย่างน่าทึ่ง
ส่วนผสม
    เมล็ดพริกไทยอ่อน…….หนัก…..2…บาท
    ผิวมะกรูด………………….หนัก…..3… บาท
    หญ้าแพรก…………………หนัก….6… บาท
    เหง้าขิงแก่สด……………..หนัก….2…บาท
    สารส้ม………………………หนัก….16..บาท

ปรุงยา
    นำส่วนผสมของตัวยาทั้งหมดข้างต้นมาโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาผสมผสานรวมกัน และนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที
วิธีใช้
    นำตัวยาที่โขลกไว้นี้มาพอกตรงหัวเข่าที่เกิดอาการเรี่ยวแรงไม่มีแล้วนำผ้ามาพันไว้ด้วยเพื่อไม่ให้ตัวยาหลุดออกมานอกจากนี้ควรหมั่นเปลี่ยนตัวยาวันละ 2 เวลา คือ เช้า/ เย็น

สรรพคุณ
     อาการไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีกำลังตรงหัวเข่าจะกลับฟื้นคืนมาได้ในที่สุด แต่จะต้องพอกยาต่อเนื่องกันไปหลายๆวันยานี้ดีและน่าสนใจมาก มีผู้ที่เกิดปัญหาหัวเข่าไม่มีแรงไม่มีกำลังกลายเป็นมีกำลังเดินได้สะดวกดีเมื้อรักษาเช่นนี้ขอจงได้บอกต่อกันไปจะได้บุญกุศลมาก

ทีมา kaijeaw.com/

รู้งี้ทำตั้งนาน! สูตรรักษาผมเสียเปลี่ยนเป็นผมสวย ด้วยวิธีหมักผมด้วยไข่ทำคืนเดียวเช้ามาสวยแน่นอน

รู้งี้ทำตั้งนาน! สูตรรักษาผมเสียเปลี่ยนเป็นผมสวย ด้วยวิธีหมักผมด้วยไข่ทำคืนเดียวเช้ามาสวยแน่นอน

สาวๆ รู้ไหมคะว่านอกจากไข่จะนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูแล้ว ยังมีประโยชน์มาก ๆ สำหรับเส้นผมอีกด้วย เพราะไข่ไก่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, บี, อี รวมถึงสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเส้นผมอย่าง เลซิติน ไบโอติน และกรดไขมัน ว้าว... เห็นไข่ไก่ใบเล็ก ๆ แบบนี้แต่ประโยชน์เพียบเลยนะคะ แถมยังสามารถจัดการกับปัญหาผมเสียได้อยู่หมัดเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีสารพัดสูตรหมักผมด้วยไข่มาฝากสาว ๆ ให้ลองเอาไปทำกัน ว่าแล้วก็มาบำรุงผมเสียให้กลับมามีสุขภาพดีกันเลย

สูตรที่ 1 บำรุงผมนุ่มลื่น
ส่วนผสมที่ต้องใช้ ไข่ไก่ (แยกเอาแต่ไข่แดง), เบียร์ 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ

คนไข่แดงให้ไข่แตกตัว นำมาผสมกับเบียร์ (ทิ้งไว้จนไม่มีฟองแล้วค่อยนำมาผสม) เสร็จแล้วนำมาชโลมบริเวณเส้นผม ทิ้งไว้ประมาณ  15  นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยให้เส้นผมของคุณหวีง่ายและนุ่มลื่นมากขึ้น
สูตรที่ 2 ลดปัญหาผมมัน

ส่วนผสมที่ต้องใช้ มะนาว 1 ลูก, ไข่ไก่ 2 ฟอง (แยกเอาแต่ไข่ขาว)

วิธีทำ

คั้นน้ำมะนาวผสมกับไข่ขาว คนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ นวดเบา ๆ เสร็จแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยสระผมให้สะอาด สูตรนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยลดปัญหาความมันของเส้นผมและหนังศีรษะให้น้อยลงได้
สูตรที่ 3 ลดปัญหาผมชี้ฟู

ส่วนผสมที่ต้องใช้ ไข่ไก่ 1 ฟอง (แยกเอาแต่ไข่ขาว), โยเกิร์ต 4 ช้อนโต๊ะ, มายองเนส 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

นำไข่ขาวมาตีให้เป็นฟอง จากนั้นนำมาผสมกับโยเกิร์ตและมายองเนส คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว นำไปชโลมให้ทั่วเส้นผม หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที สุดท้ายสระผมให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แต่อย่างน้อยควรทำให้ได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยให้เส้นผมของคุณค่อย ๆ มีสุขภาพดีขึ้นและลดการชี้ฟูได้

สูตรที่ 4 บำรุงผมนิ่ม มีน้ำหนัก

ส่วนผสมที่ต้องใช้ ไข่ไก่, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง

วิธีทำ

ตีไข่แดงและไข่ขาวให้เป็นเนื้อเดียวกัน ผสมกับโยเกิร์ต และน้ำผึ้ง คนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นนำไปหมักผม นวดเบา ๆ และใส่หมวกคลุมผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที สุดท้ายล้างออกให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยให้ผมของคุณมีน้ำหนัก นิ่ม เงางาม และหนานุ่มขึ้น

สูตรที่ 5 บำรุงผมแห้งและแตกปลาย

ส่วนผสมที่ต้องใช้ ไข่ไก่ (แยกเอาแต่ไข่แดง), น้ำผึ้ง, น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันมะพร้าว

วิธีทำ

ผสมส่วนผสมทั้ง 3 อย่างเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ล้างผมและสระผมให้สะอาด แค่นี้ก็จะช่วยบำรุงผมที่แห้งและแตกปลายให้ดีขึ้นได้

ข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view112127.html

เตือนอันตราย! ใครชอบอดนอนมากๆ โชคร้ายอาจป่วยเป็นโรคนี้

เตือนอันตราย! ใครชอบอดนอนมากๆ โชคร้ายอาจป่วยเป็นโรคนี้

หลังจากเป็นอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสจะซ่อนอยู่ตามปมประสาทของเราไปตลอดชีวิต เมื่อร่างกายอ่อนแอ เครียด อดนอน ไวรัสจะจู่โจมทำให้เกิดตุ่มพองใสที่เรียกว่า งูสวัด

โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัส VZV ซึ่งเชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ตามประสาทใต้ผิวหนังหลังจากเป็นอีสุกอีใสและแฝง ตัวอย่างสงบเป็นเวลานานหลายปีจนถึงสิบๆ ปี รอจนวันที่ร่างกายของเราอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำลง เช่น อายุมาก เครียด อดนอน ติดเชื้อเอชไอวี หรือเป็นมะเร็ง เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เกิดอาการปวด และเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวตามแนวเส้นประสาท

โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัส VZV ซึ่งเชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ตามประสาทใต้ผิวหนังหลังจากเป็นอีสุกอีใสและ แฝงตัวอย่างสงบเป็นเวลานานหลายปีจนถึงสิบๆ ปี รอจนวันที่ร่างกายของเราอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำลง เช่น อายุมาก เครียด อดนอน ติดเชื้อเอชไอวี หรือเป็นมะเร็ง เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เกิดอาการปวด และเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวตามแนวเส้นประสาท

โรคงูสวัดติดต่ออย่างไร?

โรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยการสัมผัส ระยะที่ติดต่อเป็นระยะช่วงที่มีผื่น ตุ่มน้ำใส และตกสะเก็ด ในรายที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใส ถ้าไปสัมผัสกับคนไข้ที่เป็นงูสวัดก็จะเป็นโรคอีสุกอีใสก่อน

งูสวัดมีอาการอย่างไรบ้าง?

ผู้ป่วยมักมีอาการเหมือนไข้หวัด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือเจ็บแสบร้อนบริเวณผิวหนัง หลังจากนั้นจะเริ่มมีผื่นลักษณะแดง คัน เป็นทางยาวตามแนวประสาทของร่างกาย แต่ไม่กว้างมากนัก โดยมักเริ่มในแนวใกล้ๆ กลางลำตัวตามแนวปมประสาท เช่น ตามประสาทของลำตัว แขน ขา ตา และหู มักเกิดเพียงด้านเดียว โดยส่วนใหญ่จะพบที่ลำตัวบ่อยที่สุด

หลังเกิดผื่นได้ 1 วัน ผื่นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส เมื่อตกสะเก็ดบางครั้งจะมีสะเก็ดสีดำๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะหายไปเองได้ และสามารถทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้

ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเอดส์ มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือกลุ่มคนไข้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด กลุ่มนี้ผื่นจะรุนแรงมาก สามารถเป็นได้รอบตัว แต่ถ้าภูมิคุ้มกันปกติผื่นจะเป็นแค่ซีกเดียว
อาการปวดหลังเป็นงูสวัด

ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือรักษาไม่ทันเวลา หลังอาการที่ผิวหนังหายไปแล้วจะยังคงมีอาการเจ็บปวดอยู่ โดยเฉพาะคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป การฟื้นตัวของเส้นประสาทนั้นจะใช้เวลานาน ส่วนมากจึงยังมีอาการเจ็บต่อเนื่องอีกหลายปี
การรักษาโรคงูสวัด

สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรืองูสวัดขึ้นที่บริเวณหน้า หรือมีอาการปวดรุนแรง แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดทาน ภายใน 2-3 วัน หลังเกิดอาการ เพื่อลดความรุนแรง และช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น รวมทั้งช่วยลดอการปวดแสบ ปวดร้อนในภายหลังได้

สำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นชนิดแพร่กระจายทั้งตัว แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และจะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นที่ตา ควรรักษากับจักษุแพทย์ ซึ่งแพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดทานและหยอดตา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา

แต่ยาที่ใช้จะไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ แต่จะทำให้การอักเสบสงบลง และเชื้อไวรัสจะกลับไปฝังตัวอยู่ที่ปมประสาทเหมือนเดิม ถ้าร่างกายมีภาวะอ่อนแอก็กลับมาเป็นอีกได้

ซึ่งระยะหวังผลการรักษาให้หายมีอยู่แค่ 3 วันเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตรวจเจอแต่เนิ่นๆ ถ้าบริเวณที่เจ็บนั้นมีตุ่มพองขึ้นในบริเวณเดียวกัน ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ยิ่งตรวจพบเจอเร็วก็สามารถใช้ยาต้านทานไวรัสไว้ได้ อาการเจ็บหลังเกิดโรคนั้นก็จะเกิดขึ้นได้ยาก

การดูแลรักษาด้วยตัวเอง

• ในระยะเป็นตุ่มน้ำใส ให้รักษาแผลให้สะอาด โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่นๆ หรือกรดบอริค 3 % ปิดประคบไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วชุปเปลี่ยนใหม่ ทำวันละ 3-4 ครั้ง

• ในระยะตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลต้องระมัดระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่ จะเข้าสู่แผลได้ ควรล้างแผลด้วยน้ำเกลือสะอาด แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ

• ถ้าปวดแผลมาก สามารถทานยาแก้ปวดได้

• ไม่ควรใช้เล็บแกะเกาตุ่มงูสวัด เพราะอาจทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่มหนอง แผลหายช้า และ กลายเป็นแผลเป็นได้

• การรับประทานอาหาร สามารถรับประทานได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อห้าม

• ไม่ควรเป่าหรือพ่นยาลงบนแผล เพราะจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลหายช้าและกลายเป็นแผลเป็นได้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัด

• ติดเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากการแกะเกา หรือ ดูแลผื่นไม่ถูกต้อง ทำให้แผลหายช้าและเกิดเป็นแผลเป็นได้

• ในรายที่งูสวัดขึ้นตา อาจทำให้เกิดกระจกตาอักเสบ ต้อหิน ประสาทตาอักเสบ อาจมีผลต่อการมองเห็นได้

• ในรายที่เป็นงูสวัดบริเวณหู อาจทำให้เกิดอัมพาตในหน้าครึ่งซีก มีอาการบ้านหมุน อาเจียน ตากระตุกได้

• ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โรคอาจแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดหรือเข้าสู่สมอง และอวัยวะภายใน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

• ผู้หญิงที่เป็นงูสวัดขณะตั้งครรภ์ เชื้ออาจแพร่ไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ทารกเกิดความผิดปกติ เช่น มีแผลเป็นตามตัว แขนขาลีบ ศีรษะเล็ก และมีปัญหาทางสมองได้

วิธีป้องกันงูสวัด

พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่นในผู้ป่วยที่เป็นงูสวัด โดยเฉพาะคนไข้ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใส ในบางรายอาจจะใช้การฉีดวัคซีนได้ โรคเริม กับ
ความแตกต่างระหว่าง เริม กับ งูสวัด

มีอาการและลักษณะคล้ายๆ กัน วิธีการสังเกตุง่ายๆ คือ งูสวัดมีลักษณะผื่นที่เป็นปื้นกระจายตัวตามเส้นประสาท ถ้าเป็นเริมตุ่มน้ำใสจะขึ้นทีละน้อยมากันเป็นกลุ่มๆ งูสวัดจะปวดแสบปวดร้อนมากกว่า ในเริมอาจแค่แสบๆ คันๆ งูสวัดส่วนใหญ่เป็นแค่ครั้งเดียว แต่เริมเป็นซ้ำได้บ่อยๆ

ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคงูสวัด

• ถ้าหากเห็นมีตุ่มใสๆ เห่อขึ้นตามผิวหนังส่วนไดก็ตามให้สันนิษฐานว่าเป็นโรคงูสวัดเอาไว้ก่อน และรีบไปรักษาโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยไว้จะยิ่งรักษายาก

• ถ้าไปพบแพทย์ในช่วงมีอาการปวดหัว หรือปวดตามปมประสาท ส่วนใหญ่แพทย์จะวินัจฉัยผิดว่าเป็นการปวดหัว หรือปวดเส้นประสาททั่วไป

• อาการแสบร้อนมักเป็นในช่วงกลางคืน วันรุ่งขึ้นจะมีตุ่มพองเหมือนถูกยุงกัดบริเวณที่ปวด ให้สงสัยว่าเป็นงูสวัด


• คนที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสจะไม่มีทางเป็นงูสวัส

ข้อมูลจาก medicthai
share-si.com

สูตรลับ!! คนโบราณใช้สิ่งนี้ รักษาแผลเป็น แถมได้ผลดีสุดๆ ภูมิปัญญาไทย

  หลายๆคนคงเคยพบกับความเจ็บปวด ทรมานของบรรดาแผลสด แผลไฟไหม้ ถลอก น้ำร้อนลวก นอกจากจะปวดแสบแล้ว บางครั้งเจ้าแผลเหล่านี้ยังชอบทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทำให้ร่างกายเรามีรอยด่างพล้อยอีกด้วย ในปัจจุบันก็มียารักษาแผลและแผลเป็นให้เราได้เลือกใช้ บางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน

              แต่สำหรับคนโบราณ ยาแผนปัจจุบันยังไม่มีให้ใช้ นางเอกของเรื่องเวลามีบาดแผลเลยก็คือ "ใบมะลิ" นอกจากดอกมันจะมีกลิ่นหอม สวยงามแล้ว ใบยังมีประโยชน์ในการรักษาแผล เช่น แผลพุพอง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก สิว และรอยแผลเป็น แถมยังได้ผลดีอีกด้วย
 สำหรับการรักษาแผลเป็น จากแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก รอยถลอกขีดข่วน เมื่อแผลเริ่มตกสะเก็ดจนสะเก็ดหลุดลอกออกแล้ว ให้หาใบมะลิ จะเป็นใบมะลิลาหรือมะลิซ้อนก็ได้ แต่เลือกแบบที่ปลูกตามธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง นำใบมา 2-3 ใบ บดละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นน้ำมาทาแผลเป็น 3-4 ครั้ง จากนั้นเมื่อแผลเป็นเริ่มจางลง หรือเริ่มไม่มีอาการเจ็บปวด ก็นำใบมะลิมาถูตรงแผลเป็นได้โดยตรง วันละ 3-4 ครั้ง

              สำหรับรอยแผลจากสิว ให้นำน้ำคั้นใบมะลิ ผสมกับน้ำมะนาวและดินสอพอง จากนั้นก็นำมาแต้มตรงรอยแผล จะช่วยสมานผิวและช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงอีกด้วย

              แค่ใบมะลิที่เราเคยมองข้าม แต่มีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว ลองทำตามภูมิปัญญาไทยดูสิคะ รับรองว่าได้ผลดีแน่ๆ

โดย : kaijeaw.com

ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเฮ รพ.สุราษฎร์ธานีรักษาได้

   สุราษฎร์ธานี - ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเฮ โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี สามารถรักษาโรคมะเร็งตับด้วยการสอดท่อฉีดสารฆ่าเชื้อมะเร็งเข้าถึงจุดได้ผลเยี่ยมเป็นแห่งแรกในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน มีผู้ป่วยเข้าคิวรักษาเดือนละประมาณ 30 ราย 

  พญ.ปัทมพันธ์ อนันตาพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีร่วมรักษาของลำตัว ในโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า มะเร็งตับเป็นโรคที่มีความสำคัญ เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยพบในเพศชายร้อยละ 7.9 และหญิงร้อยละ 6.5 สูงเป็นอันดับ 5 ของผู้ป่วยมะเร็งทุกชนิด สำหรับประเทศไทยพบว่ามะเร็งตับเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต และเจ็บป่วยเรื้อรังจนเป็นสาเหตุการตายก่อนวัยอันควรสูงเป็นอันดับ 1
     ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับในผู้ป่วยทั่วโลก ได้แก่ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือซีเรื้อรัง โดยพบว่า คนไทยตรวจพบเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 6 ล้านคน และตับแข็งจากสาเหตุต่างๆ การดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งพบว่าคนไทยดื่มแอลกอฮอล์สูงมากเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยเฉลี่ยพบว่ามีคนไทยป่วยเป็นมะเร็งตับ 3 คนต่อวัน และแนวโน้มการผู้ป่วยโรคตับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2556-2558) กล่าวคือ 396 ราย 415 ราย และ 440 รายตามลำดับ อาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นมะเร็งตับนั้นคือ มีอาการปวดท้อง น้ำหนักลด คลำพบก้อนในท้อง ท้องมาน หรือดีซ่าน สำหรับการรักษามี 3 วิธี คือ 1.การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก ซึ่งจะทำในรายที่พบระยะเริ่มแรก 2.การทำลายก้อนเนื้องอกโดยตรง โดยการฉีดสารบางชนิดผ่านเข็มเล็กๆ ที่สอดผ่านผิวหนังเข้าสู่เนื้องอก
         หรือใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงปล่อยพลังงานความร้อนผ่านปลายเข็มเข้าไปทำลายเนื้องอกโดยตรง เหมาะสำหรับเนื้องอกขนาดเล็กไม่เกิน 5 ซม. และไม่เกิน 5 ก้อน 3. การให้เคมีบำบัดทางหลอดเลือดแดงในตับ สำหรับในโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีนั้นได้นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการรักษา โดยการสอดใส่สายยางชนิดพิเศษเข้าทางหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบไปยังก้อนตับ และฉีดสารเคมีสู่ก้อนมะเร็งตับโดยตรง
  การรักษาวิธีนี้จะช่วยลดขนาด และความรุนแรงของโรค ลดความเจ็บป่วย ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดร่วมด้วย เช่น การตกเลือดจากก้อนมะเร็งตับแตก ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น การรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดทางเส้นเลือดแดงจะทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง ลดการเจริญเติบโตของก้อน ส่งผลให้สามารถนำไปผ่าตัดเอาก้อนออกได้โดยปลอดภัย แต่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง มาตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ สำหรับการรักษาโดยวิธีนี้แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย และเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งมีเกณฑ์ดังนี้ คือ เป็นก้อนขนาดใหญ่ หรือมีหลายก้อน ไม่สามารถผ่าตัดได้เนื่องจากจะเหลือพื้นที่ตับน้อย หรือมีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดสูง ต้องการลดขนาดก้อนเพื่อไปทำการผ่าตัดตับ หรือการเปลี่ยนตับ หรือเพื่อการรักษาแบบประคับประคอง และการรักษาตามอาการ
     
       ในภาคใต้ตอนบน โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีเป็นโรงพยาบาลแห่งเดียวที่ให้การรักษาด้วยวิธีนี้ เนื่องจากมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรังสีร่วมรักษาของลำตัวและเครื่องตรวจเส้นเลือดที่ใช้ในการรักษาคนไข้มะเร็งตับ ปัจจุบันมีผู้ป่วยมะอย่างต่อเนื่องทุกวันด้วยจำนวนคนไข้ที่เพิ่มมากขึ้น เดินทางเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ประมาณเดือนละ 30 ราย
ทีมา http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9590000014666
Powered by Blogger.