ผงชูรสอาจผลิตจากแป้งมันสำปะหลังก็จริง แต่กระบวนการหมักและต้องใช้สารเคมีหลายตัว เช่น กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟูริค กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก ยูเรีย โซดาไฟ เป็นต้น ซึ่งมีการศึกษาพบว่า อันตรายของผงชูรสนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม และ พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรส
ด้วยผงชูรสมีปริมาณโซเดียมสูงและไม่มีรสเค็มให้รับรู้ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อไปนี้
– ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง
– เป็นอันตรายต่อสมองเด็ก สะสมจนเมื่อโตขึ้นจะมีโอกาสทำให้ปัญญาอ่อนได้
– อันตรายต่อหญิงมีครรภ์ทำให้ร่างกายบวม และยังมีพิษภัยต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
– ทำให้ผู้ที่มีโรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ อาการแย่กว่าเดิม
– อาการแพ้ผงชูรส จะรู้สึกชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก ในบางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก
– ทำลายสมองส่วนหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง ทั้งในเรื่องขนาดและน้ำหนัก
– ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้ มีการทดลองในสัตว์พบว่ายิ่งอายุน้อยจะยิ่งเกิดผลร้ายมาก
– ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้
– ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง อย่างเช่นวิตามินบี-6 หากขาดจะทำให้ร่างกายเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย
– เสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้
– ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง เสี่ยงต่อประสาทเสื่อมหรือซึ่งอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
– มีผลเปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง จมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น
– หญิงตั้งครรภ์ที่ทานผงชูรส อาจส่งผลกระทบกับทารกในครรภ์ได้เช่นกัน
ที่น่าเป็นห่วงคือ มีการโฆษณาจากผู้ผลิต เชิญชวนให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ผงชูรส กันอย่างแพร่หลายตามสื่อต่างๆ จนผู้รับสื่อเห็นการใช้ผงชูรสเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอันตรายอะไร ทางที่ดีคือการเลี่ยงผงชูรส ปรุงอาหารทานเอง หากจำเป็นต้องไปทานอาหารนอกบ้านให้กำชับที่ร้านไม่ให้ใส่ผงชูรส และอย่าลืมบอกและเตือนคนที่คุณรู้จักด้วยนะคะ
โดย : Kaijeaw.com