Showing posts with label สาระน่ารู้. Show all posts
Showing posts with label สาระน่ารู้. Show all posts

แชร์เก็บไว้เลย! เคล็ดลับดับร้อน นอนหลับสบาย ในคืนร้อน ไม่ต้องใช้แอร์ โดยวิธีนี้

อากาศร้อนๆ อย่างนี้ นอกจากจะเสียเหงื่อและยังทำให้เราหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี เวลานอนก็แสนจะยากเย็นเพราะอากาศที่ร้อนเหลือคณา ถ้าบ้านไหนมีแอร์ให้เย็นกายชื่นฉ่ำใจก็โชคดีไป แต่พอถึงสิ้นเดือนก็แทบสิ้นใจ เพราะค่าไฟคงมาแรงแซงทางโค้งเป็นแน่ เราจึงได้คิดค้นหาวิธีที่จะทำให้คุณเย็นโดยไม่พึ่งแอร์ ประหยัดไฟยิ่งกว่าเบอร์ 5 ส่วนคนไหนงบน้อยมีแต่ “แฟน” แต่ไม่มี “แอร์” ก็ไม่เป็นไร วิธีนี้รับรองไม่ร้อนนอนสบาย ค่าไฟไม่ขึ้นแน่นนอน

1.ทำตัวให้เย็น

• ดื่มน้ำบ่อยๆ จะช่วยทำให้ร่างกายของคุณเย็นขึ้น พยายามดื่มน้ำทุกๆ ชั่วโมงอย่างน้อย 8 ออนซ์ อาจจะเพิ่มใบสะระแหน่ เปลือกส้ม มะนาว ลงไปในน้ำจะช่วยให้สดชื่นขึ้น
• แช่ข้อมือของคุณในน้ำเย็น ข้างละ 10 วินาที โดยวิธีนี้จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายของคุณได้ประมาณ 10 ชั่วโมง
• แช่เท้าของคุณในถังน้ำเย็น ความเย็นจะแผ่กระจายไปยัง มือ เท้า ใบหน้า และหู เพื่อระบายความร้อน

2.ใส่เสื้อผ้า (หรือไม่ใส่) แล้วแต่สถานการณ์คลายร้อน

“ไม่ใส่เสื้อผ้า” ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์และสถานที่ที่สามารถ นุ่งน้อยห่มได้ อย่ารอช้า เพราะการใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นหรือไม่ใส่อะไรเลย จะช่วยให้คุณรู้สึกเย็นสบายได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ร้อนมากไม่ใส่อะไรเลย ร้อนน้อยหน่อย ใส่เป็นชุดว่ายน้ำหรือชุดชั้นในอยู่บ้าน ก็ไม่ว่ากัน เย็นสบายอย่าบอกใคร
เคล็ดลับสำหรับการเลือกเสื้อผ้าสำหรับหน้าร้อน ควรเป็นเสื้อผ้าที่ผลิตจากใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าลินิน จำทำให้คุณรู้สึกเย็นขึ้นกว่าผ้าที่ทำมาจากใยสังเคราะห์ และควรสวมเสื้อผ้าสีอ่อนๆ เพราะเสื้อผ้าสีเข้ม จะดูดแสงและเก็บความร้อนได้ดีกว่า แนะนำให้สวมเสื้อผ้าสีขาว เพราะจะช่วยสะท้อนแสงได้ดีที่สุด รวมทั้งไม่เก็บความร้อนอีกด้วย

3.ทำความเย็นโดยไม่พึ่งแอร์

เริ่มต้นด้วยการนำภาชนะใส่น้ำไปแช่ช่องฟรีซให้แข็ง จากนั้น นำน้ำแข็งที่ได้มาใส่ภาชนะใบใหญ่ ตั้งไว้หน้าพัดลม ไอเย็นจากน้ำแข็งกำลังละลายจะทำให้คุณเย็นสบายคล้ายแอร์เลยทีเดียว นอกจากนั้น น้ำแข็งที่ละลายแล้วคุณยังสามารถนำมารีไซเคิลไปแช่แข็งได้ใหม่ ประหยัดทั้งไฟ ประหยัดทั้งน้ำ แบบนี้ไม่รักไม่ได้แล้ว

ฟังก์ชั่นนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแอร์คุณได้ด้วย ไม่ให้แอร์ของคุณทำงานหนักจนเกินไป และความเย็นที่ได้ไม่เย็นเจี๊ยบชื่นใจเหมือนการเปิดแอร์ 13 องศา อย่างแน่นอน แต่เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้คุณเย็นขึ้นโดยไม่อาศัยแอร์นั่นเอง
4.หมอนเย็น

ตัวช่วยแรกที่เราขอแนะนำสำหรับการทำ “หมอนเย็น” นั่นก็คือ “แผ่นรองหมอนเย็น” ที่จะมอบความเย็นสดชื่น จากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว เพียงวางรองบนหมอนตอนเข้านอน แผ่นเจลจะค่อยๆ ดูดซับและถ่ายเทความร้อนจากร่างกาย ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เย็นสบาย และนอนหลับได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

วิธีที่สอง เอาหมอนใบเล็กๆ ไปแช่ตู้เย็นก่อนที่คุณจะนอนสัก 1-2 ชั่วโมง โดยเอาถุงพลาสติกคลุมไว้ก่อนแช่ในตู้เย็น เพื่อไม่ทำให้หมอนชื้นหรือเปียกจากไอเย็นน้ำแข็ง หรือจะจัดเต็มแบบครบเซตด้วยการเอาผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่มผืนบางๆ ไปแช่ตู้เย็นด้วย แต่อย่าลืมเอาถุงพลาสติกคลุมทุกครั้ง จะได้ไม่เปียกชื้นจนเกินไป ซึ่งวิธีนี้อาจจะทำให้คุณเย็นได้เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่เอาหมอนหรือผ้าห่มออกมาจากตู้เย็น ดังนั้นต้องรีบทำเวลาหน่อย

5.เพิ่มความชุ่มชื่นด้วยผ้าม่าน

ฉีดน้ำเย็นๆ ลงบนผ้าม่าน หรือผ้าผืนบางๆ พอหมาดๆ จากนั้นนำไป แขวนไว้ตรงหน้าต่างที่เปิดอยู่ เวลาที่ลมพัดผ่านเข้ามาจะได้รับความเย็นและความชุ่มชื่นจากผ้าที่ผึ่งไว้จะช่วยทำให้อุณหภูมิในห้องของคุณเย็นขึ้น

6.ใช้วิธีอียิปต์โบราณ

วิธีนี้เป็นวิธีการเก่าแก่ของชาวอียิปต์โบราณที่ใช้คลายคลามร้อนยามค่ำคืน เพียงแค่แช่ผ้าบางผืนใหญ่ หรือผ้าห่ม แช่ในน้ำเย็น จากนั้นนำไปผึ่งทิ้งไว้พอหมาดๆ แต่ไม่แห้ง และไม่เปียกจนมีน้ำหยดเป็นอันใช้ได้ นำผ้าห่มมาคลุมตัวคุณไว้ตอนนอน จะช่วยให้ร่างกายของคุณเย็นขึ้น

หรืออีกหนึ่งวิธีที่ที่เป็นที่นิยมคือ การนำแพคน้ำแข็งมาวางไว้บนศีรษะ หรือข้อมือของคุณก่อนนอน จะช่วยให้คุณเย็นสบายขึ้น และต้องให้แน่ใจว่าแพคน้ำแข็งไว้อย่างดีไม่หยดจนเปียก หรือจะเป็นถุงเท้าชุบน้ำพอหมาดๆ สวมก่อนนอนก็เย็นดีไม่น้อย

7.ระบายความร้อนออกนอกห้อง

เป็นการครีเอทโดยใช้หลักการถ่ายเทความร้อน จากในห้องออกไปด้านนอก โดยการเปิดพัดลมตั้งโต๊ะแล้วหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อเป็นการระบายความร้อน จากนั้นให้เปิดพัดลมเพดาน เพื่อเป็นการหมุนเวียนอากาศ ดึงความร้อนขึ้น และพัดออกไปโดยพัดลมตั้งโต๊ะตรงหน้าต่าง เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ห้องของคุณเย็นขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลที่มาจาก share-si

ประโยชน์ที่ไม่ธรรมดาของน้ำยาฉีดกระจก...คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ประโยชน์ที่ไม่ธรรมดาของน้ำยาฉีดกระจก...คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

น้ำยาเช็ดกระจกไม่ได้มีไว้สำหรับทำความสะอาดกระจกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมายมหาศาลที่ช่วยให้งานบ้านหรือการใช้ชีวิตของคุณ ‘ง่าย’ มากขึ้น จะมีประโยชน์อะไรบ้างนั้น ตามมาหาคำตอบไปพร้อมๆกันได้เลย

สุดยอดความทึ่ง!! เปลี่ยนแปลง "หน้าหลุมสิว" แบบง่ายๆ แค่วันละครั้ง

ความลับอยู่ที่นี่ จัดการ "หน้าหลุม" โดยไม่ต้องศัลยกรรม เพียงแค่ใช้....


1. แก้ซิปติด

เพียงแค่พ่นน้ำยาเช็ดกระจกลงไปที่ซิปสัก 1-2 ครั้ง น้ำยาจะเป็นสารหล่อลื่นที่ช่วยให้ซิปที่เคยติดขัดลื่นปรื๊ดดดได้อีกครั้งหนึ่ง โดยหลังจากพ่นแล้วให้ลองรูดขึ้นรูดลงสักหน่อยให้น้ำยากระจายตัว แล้วคุณก็จะไม่พบปัญหาที่ว่านี้อีกต่อไป

2. กำจัดคราบมันที่เตา โต๊ะครัว หรือกระทะ

คราบมันสร้างความลำบากใจให้คุณทุกครั้งเลยใช่มั๊ยค่ะ ลองใช้น้ำยาเช็ดกระจกเป็นตัวช่วยดูสิ ชีวิตคุณจะดีขึ้นแน่นอน แค่ฉีดน้ำยาลงไป 2-3 ครั้งบริเวณที่มีคราบหนืดๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วจึงค่อยเช็ดล้างออกตามปกติ รับรองว่าจะช่วยให้การทำความสะอาดคราบสกปรกเหล่านี้ง่ายขึ้นได้แน่ๆ

3. ป้องกันแมลงรบกวน

น้ำยาเช็ดกระจกสามารถใช้เป็นสเปรย์ไล่แมลงได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นมด แมลงวัน หรือสัตว์อื่นๆก็ต้องลดน้อยลงแน่ๆถ้าคุณมีน้ำยาเช็ดกระจกอยู่ในมือ แต่แนะนำว่าไม่ควรฉีดน้ำยาเช็ดกระจกไปทั่ว ให้ฉีดเมื่อแมลงบินหรือไต่มาเกะตัวเราเท่านั้น จากนั้นอย่าลืมล้างผิวของเราให้สะอาดด้วย

4. แก้ปริ้นเตอร์อุดตัน

หัวปริ้นเตอร์มักจะอุดตันบ่อยๆโดยเฉพาะเวลาที่เราไม่ได้ใช้งานมันสักระยะหนึ่ง ถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นไม่ต้องส่งซ่อมหรือซื้อใหม่ให้เสียเงิน เพียงแค่ฉีดน้ำยาเช็ดกระจกลงบนทิชชูหนาๆ แล้วเอาไปเช็ดที่หัวปริ้นเตอร์ แช่ทิชชูที่หัวปริ้นเตอร์ไว้ 1 วันเต็มๆ แล้วลองเปิดเครื่องใช้งานอีกครั้ง เครื่องปริ้นซ์ของคุณก็จะกลับมาใช้งานได้ดีดังเดิม

5. ช่วยทำให้นิ้วลื่นเพื่อดึงแหวนที่ติดออก

ถ้าเกิดปัญหาดึงแหวนออกจากนิ้วไม่ได้ ก็ให้ฉีดน้ำยาเช็ดกระจกลงไปให้รอบแหวน จากนั้นรอสัก 1-2 นาที เราก็จะสามารถเอาแหวนออกจากนิ้วได้อย่างง่ายดาย สะดวกสุดๆไปเลย

6. เพิ่มความเงาให้กับพื้นผิวทุกชนิด

เคยเป็นมั๊ยค่ะ อยากจะขัดอะไรบางอย่างให้เงางับ แต่เช็ดแทบตามสุดท้ายก็ไม่เงา ให้น้ำยาเช็ดกระจกเป็นตัวช่วยของคุณดูสิ เพียงแค่ฉีดน้ำยาเช็ดกระจกลงบนผ้าขนหนูแล้วนำไปขัดๆถูๆบนพื้นผิวที่ต้องการความเงา พื้นผิวเหล่านั้นก็จะเงาวับขึ้นได้อย่างง่ายดาย

7. ทำความสะอาดลูกบิด

บริเวณลูกบิดเป็นบริเวณที่ถูกลืมที่จะทำความสะอาดอยู่เสมอ การใช้น้ำยาเช็ดกระจกเช็ดทำความสะอาดที่จุดนี้นอกจากจะช่วยให้ลูกบิดเงาวับแล้วยังช่วยกำตัดเชื้อโรคได้อีกด้วย

เห็นประโยชน์มากขนาดนี้แล้ว พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายจะได้เอาไปประยุกต์ใช้ได้ถูก แล้วคุณจะไม่ผิดหวังกับน้ำยาเอนกประสงค์นี้เลย

ที่มา:http://www.share-si.com/2016/12/blog-post_12.html

น่าทึ่งมากๆ แค่ปลูกพืชชนิดนี้ในบ้าน ก็จะช่วยกำจัดสารพิษและฟอกอากาศให้บ้านของคุณ

น่าทึ่งมากๆ แค่ปลูกพืชชนิดนี้ในบ้าน ก็จะช่วยกำจัดสารพิษและฟอกอากาศให้บ้านของคุณ

พืชบางชนิดควรนำเข้ามาไว้ในบ้านเพราะมันจะช่วยทำให้อากาศในบ้านของคุณสะอาด มันจะช่วยกำจัดสารพิษและเชื้อราในอากาศสร้างสภาพแวดล้อมภายในบ้านของคุณให้ดีขึ้น

ว่านหางจระเข้ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบ้านของคุณ มันจะช่วยปล่อยออกซิเจนภายในบ้านของคุณ

พืชที่คุณควรมีไว้ในบ้านเพื่อช่วยให้ร่างกายและจิตใจสะอาดสดชื่น



ว่านหางจระเข้ ช่วยคลายก๊าซออกซิเจนอีกทั้งยังสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และฟอร์มาลดีไฮด์ได้อีกเช่นกัน เพียงคุณมีว่านหางจระเข้หนึ่งต้นมีผลเท่ากับมีอากาศชีวภาพ 9 กระป๋อง!

ไม่เพียงแค่ ว่านหางจระเข้ คุณยังสามารถใช้ ต้นสกุลโพ ไว้ภายในบ้านได้อีกเช่นกัน มันดูแลรักษาง่ายไม่จำเป็นต้องได้รับแสงมาก

อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดอากาศจากสารฟอร์มาลดีไฮด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่คุณควรระวังหากบ้านของคุณมีเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยงเนื่องจากใบของมันมีพิษ

ไอวี่  แม้ว่า ไอวี่ จะขึ้นชื่อว่าเป็นพืชที่มีพิษกับคนแต่มันสามารถกำจัดสารพิษในอากาศได้ถึง 60% และยังช่วยกำจัดอนูที่เล็กที่สุดถึง 58% ภายในเวลาเพียง 6 ชั่วโมง

ลิลลี่เขียว สามารถเติบโตได้ดีแม้มีแสงเพียงเล็กน้อย และยังสามารถดูดซับสารพิษที่เป็นอันตรายกับร่างกายของเราได้ เช่น น้ำมันเบนซิน สไตรีน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และฟอร์มาลดีไฮด์ ลิลลี่เพียงหนึ่งต้นมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศได้ถึง 200 ตารางเมตร

ทาร์รากอน Estragon หรือเรียกอีกอย่างว่า grass snake เป็นพืชที่ดีเยี่ยมสำหรับบ้านเพราะมันดูแลรักษาง่ายต้องการแสงเพียงเล็กน้อยอีกทั้งยังทนทาน ควรนำไปไว้ในห้องนอนจะดีที่สุดเพราะมันจะช่วยขจัดสารพิษและปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืน

พืชอีกชนิดที่ดีมากสำหรับการกำจัดสารพิษจากสารเคมีในอากาศคือ ลิลลี่ มันจะช่วยกรองฟอร์มาลดีไฮด์จากไตรคลอโรเอทิลีนในอากาศ

ตามที่องค์การนาซ่าได้ระบุไว้ ว่า บ้านแต่หลังควรมีพืชเหล่านี้ไว้ 15-18 ต้นบนพื้นที่ 500 ตารางเมตร และควรมีไว้ในห้องนอนด้วยเช่นกัน


 : http://www.rak-sukapap.com/

แม่ค้ามาเอง! 5 วิธีเลือกแตงโมหวานอร่อย แบบฉบับชาวนามือฉมัง

5 วิธีเลือกแตงโมหวานอร่อย แบบฉบับชาวนามือฉมัง!

อากาศร้อนๆ แบบนี้ไม่มีอะไรจะทำให้เราชื่นใจไปกว่าแตงโมลูกโตๆ ที่แสนและหวานเย็นฉ่ำ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าแตงโมที่วางขายทั่วไปจะอร่อยเหมือนกันหมด เรารู้จักเลือก รู้จักซื้อแตงโมลูกดีๆ ให้เป็นด้วย

บอกเลยละกันว่าจริงๆ แล้วเราสามารถเลือกแตงโมได้จากเปลือกของมันเอง อีกทั้งยังมี 5 เทคนิควิธีการเลือกแตงโมลูกโตๆ หวานๆ ตามคำบอกเล่าของจากชาวนาผู้เชี่ยวชาญกันด้วย ฉะนั้นจะรอช้าอยู่ไย ไปดูกันเลย

1. ดูจากขนาด
เป็นความจริงที่คนมากมายมักเชื่อว่าผลไม้ที่มีขนาดใหญ่จะมีรสชาติดีกว่าขนาดอื่นๆ ซึ่งใช้ไม่ได้กับแตงโม เราควรเลือกซื้อแตงโมขนาดกลางมากกว่า เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด

2. ดูจากเพศของแตงโม
หากคุณเน้นที่คุณภาพไม่เน้นปริมาณ แตงโมเพศเมีย คือ คำตอบของคุณ เพราะแตงโมเพศเมียจะมีรสชาติที่หวานกว่าเพศผู้ ในขณะที่แตงโมเพศผู้นั้นจะมีปริมาณน้ำมากกว่า ส่วนการแยกเพศแตงโมเราสามารถสังเกตได้จากรูปร่างของมัน โดยแตงโมเพศผู้จะยืดและยาวกว่า ขณะที่เพศเมียจะอวบและกลมกว่า

3. วงด่างสีเหลืองขุ่นบนผลแตงโม
หลายคนอาจสงสัยว่าอะไรคือ วงด่างสีเหลืองขุ่นบนผลแตงโม แต่หากสังเกตให้ดี แตงโมจะมีวงด่างสีเหลืองนี้บนผลทุกลูกอยู่แล้ว เนื่องจากผลแตงโมแนบอยู่กับดินเป็นเวลานาน ส่วนวิธีการเลือกแตงโมจากเทคนิคนี้ เราควรเลือกวงด่างที่มีสีเหลืองเข้มๆ เพราะมันบ่งบอกว่าแตงโมผลนั้นได้มีเวลาสุกอยู่บนต้นนานก่อนที่จะเก็บ ทำให้มีรสหวานอร่อยกว่าลูกที่มีจุดสีขาวหรือไม่มีเลย ฉะนั้นเวลาไปซื้อแตงโมก็พลิกหาเจ้าวงด่างนี้นิดนึง ถ้าเลือกที่มีสีเหลืองเข้มจนออกเป็นสีทองได้ยิ่งดี

4. เถาของแตงโม
เถาของแตงโมเป็นตัวบ่งบอกความสุกงอมของมัน และเพื่อที่จะเก็บแตงโมที่คุณภาพเยี่ยม ควรเลือกซื้อแตงโมที่มีเถาแห้งๆ เพราะหากเป็นเถาสีเขียวมีความหมายว่ามันถูกเก็บมาเร็วเกินไป รสชาติมันยังไม่เยี่ยมที่สุดเท่าแตงโมที่ควรจะเป็น

5. รอยแตกรูปใยแมงมุมของแตงโม
รอยแตกบนผิวรูปใยแมงมุมของแตงโมเป็นตัวที่บ่งชี้ว่ามีเคยผึ้งสัมผัสมันบ่อยแค่ไหน หากยิ่งมากครั้ง รอยแตกนี้ยิ่งใหญ่ ซึ่งก็เป็นสัญญาณของการผสมเกสรดอกไม้ของผึ้งและบอกเราได้ว่าแตงโมผลนี้หวานมากแค่ไหน
ทีมา share-si.com/2016/11/5_28.html

แม่บ้านห้ามพลาด! 8 วิธีล้างคราบดำติดหนึบใต้ก้นกระทะ หนาแค่ไหนก็ขัดออกได้

 แม่บ้านห้ามพลาด! 8 วิธีล้างคราบดำติดหนึบใต้ก้นกระทะ หนาแค่ไหนก็ขัดออกได้

คราบดำติดหนึบใต้ก้นกระทะ ปัญหากวนใจของเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลาย จะล้างจะขัดจะถูยังไงก็ไม่ออกสักที เป็นเรื่องที่น่ารำคาญสุดๆ ในวันนี้เราจึงอยากมานำเสนอบทความดีดีกับแม่บ้านห้ามพลาด 8 วิธีล้างคราบดำติดหนึบใต้ก้นกระทะ หนาแค่ไหนก็ขัดออกได้

สูตรที่1 เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู


• ให้คุณนำเอาเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยตวง มาทำการผสมกับน้ำส้มสายชู โดยต้องผสมจนกระทั่งให้เป็นเนื้อครีมเข้มข้น

• จากนั้นให้คุณนำไปทาที่ก้นกระทะ โดยทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง

• หลังจากนั้นให้คุณค่อยๆขัดออก โดยให้เพิ่มเบกกิ้งโซดาลงไปอีก 3 ช้อนโต๊ะ และน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เป็นอันเสร็จ

สูตรที่2คือ น้ำร้อนและเบกกิ้งโซดา


• ถ้าหากกระทะของคุณเปื้อนรอยไหม้ทั้งด้านในและด้านนอก คุณสามารถทำได้โดยการเทน้ำร้อนและเบกกิ้งโซดาลงไป 4-5 ช้อนโต๊ะในกะละมัง

• ทำการคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน

• จากนั้นให้คุณนำกระทะแช่ทิ้งไว้ โดยใช้เวลาประมาณ 30-50 นาที

• หลังจากนั้นค่อยนำขึ้นมาขัดอีกครั้งหนึ่ง

สูตรที่3คือ มันฝรั่ง


1. ให้คุณทำการโรยเบกกิ้งโซดาลงไปก้นกระทะให้ทั่ว

2. จากนั้นให้คุณนำเอามันฝรั่งที่ทำการหั่นครึ่งมาทำการขัดให้ทั่ว โดยจะต้องทิ้งไว้สักพัก

3. หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

 สูตรที่4คือ ซอสมะเขือเทศ


• สูตรนี้เหมาะสำหรับใช้กับกระทะชนิดทองแดง

• ให้คุณนำซอสมะเขือเทศมาทาลงไปในก้นกระทะให้ทั่ว

• ทำการปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที

• ในกรณีที่มีรอยไหม้เยอะมาก ก็ให้คุณปล่อยทิ้งไว้อีกสักพักหนึ่ง

• จากนั้นค่อยขัดออก เนื่องจากกรดในมะเขือเทศมันจะทำให้สามารถกำจัดรอยไหม้ออกได้

สูตรที่5คือ ครีมออฟทาร์ทาร์


• ให้คุณนำครีมออฟทาร์ทาร์มาโรยลงไปบนก้นกระทะ โดยใช้ในอัตราส่วนประมาณ 3 ส่วน

• จากนั้นให้คุณค่อยๆ หยดน้ำเปล่าลงไปอีก 1 ส่วน

• หลังจากนั้นให้ถูส่วนผสมให้ทั่ว แล้วทำการพักทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที

• ให้คุณนำฟองน้ำมาขัดคราบไหม้ออก

สูตรที่6คือ น้ำร้อนและน้ำยาล้างจาน


• เหมาะสำหรับใช้กับกระทะสเตนเลส

• ให้คุณนำเอากระทะลงไปทำการล้างในน้ำร้อนที่มีการผสมน้ำยาล้างจาน

• เพื่อที่มันจะสามารถกำจัดคราบมันได้

• จากนั้นให้คุณนำขึ้นมา ตามด้วยการโรยเบกกิ้งโซดาลงไป

• ทำการขัด โดยใช้ฝอยขัดหม้อและน้ำอุ่นผสมน้ำยาล้างจาน

• ปิดท้ายด้วยการล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตรที่7คือ น้ำส้มสายชูกับเกลือ


• ให้คุณทำการผสมน้ำส้มสายชูกับเกลือ โดยผสมจนเป็นเนื้อสครับเข้มข้น

• จากนั้นให้คุณเลือกใช้ฟองน้ำชุบ แล้วค่อยนำมาขัดก้นกระทะให้สะอาด

สูตรที่8คือ แป้งสาลีและน้ำส้มสายชู


• เหมาะสำหรับใช้กับกระทะเทฟลอน

• ให้คุณนำแป้งสาลี 1 ช้อนโต๊ะ มาทำการผสมกับเกลือและน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ

• จากนั้นก็ให้คุณทาส่วนผสมลงไปบนก้นกระทะ

• หลังจากนั้นให้เลือกใช้ฟองน้ำโดยจะต้องถูให้ทั่ว

• ทำการล้างออกด้วยน้ำร้อนที่ผสมน้ำยาล้างจาน เป็นอันเสร็จ

อ้างอิง: http://www.rak-sukapap.com/2016/11/8_26.html?m=1

น่าทึ่งมากๆ นักโภชนาการให้คำแนะนำ แค่กินอาหารเหล่านี้ก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้

น่าทึ่งมากๆ แค่กินอาหารเหล่านี้ก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้

นักโภชนาการให้คำแนะนำ! เต็มอิ่มกับอาหารของคุณด้วยปลา ผลไม้สีแดง ซุป สตูว์ตามฤดูกาล และเนื้อสัตว์กับขมิ้น

ปลา "หล่อลื่น" ข้อต่อ


อาหารทะเลและปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบที่มีไขมัน เป็นแหล่งที่ดีของโอเมก้า 3 กรดไขมัน DHA และ EPA ที่ป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบ และอาการปวดข้อต่อ การรับประทานปลาที่เป็นน้ำมันสองชนิด (ปลาแซลมอน, ปลาทู) ต่อสัปดาห์ ก็เพียงพอที่จะให้ร่างกายของคุณได้รับส่วนผสมที่สำคัญนี้ นอกจากปลาแล้ว กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังสามารถพบได้ในถั่ว น้ำมันมะกอกแช่เย็น บีทรูท และไข่

ผลไม้สีแดงป้องกันการอักเสบ


ต้องขอบคุณการต้านการอักเสบที่แข็งแกร่งของพวกมัน สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ ลูกเกด มัลเบอร์รี่ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่และองุ่นสีดำ ถือเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของอาการปวดข้อ ผลไม้และผลเบอร์รี่เหล่านี้ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (โพลีฟีน วิตามิน C และ E เบต้าแคโรทีน) และป้องกันการเกิดออกซิเดชันของเซลล์ เพื่อบรรเทาอาการปวด คุณควรทานเชอร์รี่ 45 กรัม องุ่นดำ 400 กรัมต่อสัปดาห์ หรือผลไม้สีแดงหนึ่งกำมือทุกวัน

ขมิ้นสำหรับการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น


การศึกษาจำนวนมากได้ยืนยันว่าโพลีฟีนในขมิ้นมีประสิทธิภาพป้องกันไซโตไคน์ – สารที่ช่วยกระตุ้นการเกิดการอักเสบได้ มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่า คนที่ทุกข์ทรมานจากโรคไขข้ออักเสบ สามารถเพิ่มความคล่องตัวของข้อต่อได้โดยการบริโภคขมิ้น ปริมาณที่แนะนำต่อวันของขมิ้นคือ 375 มิลลิกรัม สำหรับการเคลื่อนไหวที่ดียิ่งขึ้น ก็จะแนะนำให้บริโภคขิงร่วมด้วย

ทีมา share-si.com

(ชมคลิป)สร้างรายได้แบบพอเพียง !! เลี้ยงมดแดงแบบคอนโด 10-15 วัน เก็บไข่ขายได้หลายหมื่นบาท !!

มดแดงสัตว์เศรษฐกิจราคาแพง ไข่ของมันถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารพื้นบ้านที่เลิศรส  การเลี้ยงมดแดงแบบคอนโด ทำให้ง่ายต่อการเก็บไข่  แถมราคาขายก็สูงอีกด้วย


ข่มดแดงมีรสชาติที่เฉพาะตัว สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู  ไม่ว่าจะ แกง ผัด  หมก แต่ละเมนูอร่อยๆทั้งนั้น  ไข่มดแดงจึงมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 300-500 บาทเลยทีเดียว  วิ๔ชาวบ้านนั้นต้องไปเสาะหาแหย่รังไข่มดแดงตามต้นไม้สูงถึงจะได้ไข่มดแดงมากินจึงทำให้เป็นอาหารที่หายาก  แต่ปัจจุบันได้มีการเพาะเลี้ยงไข่มดแดงด้วยการใช้ขวดพลาสติกสร้างบ้านใหม่ให้มดแดงอยู่แทน หรือเรียกว่าการเลี้ยงไข่มดแดงแบบคอนโดนั้นเอง

วิธีการทำคอนโดให้มดแดงอยู่อาศัยก็เพียงแค่นำขวดน้ำอัดลมมาตัดคอขวดแล้วกลับด้าน จากนั้นนำไปประกบกับส่วนของก้นขวด ยึดให้สองส่วนนี้ติดกันด้วยเทปกาว  ภายในขวดก็ให้ล่อมดแดงให้เข้ามาอยู่อาศัยโดยการใส่อาหารของมดแดงลงไปด้วย เช่น แมลง เนื้อปลา หรือเนื้อ  จากนั้นนำขวดพลาสติกอีกใบ ปาดขวดให้เป็นช่องเพื่อให้มดแดงสามารถเข้าไปกินน้ำได้  แล้วใส่น้ำผสมน้ำหวานหรือน้ำตาลลงไป นำขวดทั้งสองไปแขวนใต้ต้นไม้ที่มีมดแดงอาศัยอยู่สูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร

เมื่อมดแดงได้กลิ่นอาหารก็จะพากันมาอาศัยอยู่ในขวด  ซึ่ง 1 ขวดสามารถให้ผลผลิตไข่มดแดงได้ถึง 2-3 โดยประมาณ

จากการทำคอนโดให้มดแดงอยู่นี้พบว่า  หากต้นไม้ต้นไหนมีรังมดแดงรังเล็ก มดแดงจะไม่คาบไข่เข้ามาอยู่อาศัยในขวดแต่จะเข้ามาคาบอาหารจากคอนโดเทียมกลับไปที่รังของมันบนต้นไม้  ซึ่งมดที่คาบไข่มาอยู่ในคอนโดส่วนใหญ่จะเป็นมดแดงที่มีรังขนาดใหญ่ ๆ มีจำนวนมดเยอะ ๆ นั้นเอง  ระยะเวลาการคาบไข่มาไว้ในคอนโดขวดก็จะมากน้อยแตกต่างกันไป บางต้นใช้เวลาเพียง 2 วัน บางต้นก็ใช้เวลาถึง 10-15 วัน ไปจน 1 เดือนก็มี  เมื่อมดแดงเข้ามาอาศัยอยู่ในคอนโดแล้วมันจะไม่ต้องการอาหารเพิ่มแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใส่อาหารเพิ่มเข้าไปในคอนโดเลย แต่ให้ใส่ในขวดที่ยังไม่มีมดมาอาศัยอยู่เพื่อเลี้ยงรังอื่นๆแทน
ทีมา http://www.deenews.com/news653.html

การดื่มเบียร์วันละแก้ว! มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มากกว่าที่คุณคิด!

การดื่มเบียร์วันละแก้ว! มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มากกว่าที่คุณคิด!

ดื่มเบียร์ เพียงวันละแก้ว ก็ช่วยให้ผิวคุณสวยขึ้นด้วยนะ แต่ย้ำนะเพียงวันละแก้วเท่านั่น…ไม่ได้หมดแค่นี้เราลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1.ป้องกันโรคหัวใจ เบียร์มีความเสี่ยงต่อโรค หัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 – 60 % แต่ควรดื่มไม่เกิน ครึ่งลิตรต่อวัน

2.ช่วยลดความดันโลหิต อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน

3.ช่วยลดความดันโลหิต การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

4.ป้องกันเบาหวาน เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอืนซูลิให้ความทรงจำดี

5ช่วยให้กระดูกแข็งแรง สามารช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉราะกับหนุ่มสาวเทท่านั่น

6.ช่วยให้อายุยืน

7.ป้องกันท้องร่วง โมเลกุสารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรค ในลำไส้ที่เป็น สาเหตุของท้องร่วง ไม่ให้แพร่เชื้อจนท้องเสีย

8.ต้านความเครียด คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์ บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

9.ป้องกันนิ่วใหถุงนํ้าดี การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีดซียม ชื่งจะช่วยลดความเสียงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40 %

10.ป้องกันโรคนอนไม่หลับ ช่วยให้ประสาผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่นป้องกันโรคหัวใจ และ เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง อีกด้วย

ที่มา : http://ti.upyim.com/3839/

6 วิธีแก้เท้าเหม็นให้หายขาดด้วยตัวเอง ด้วยวิธีที่ง่ายเหลือเชื่อ

6 วิธีแก้เท้าเหม็นให้หายขาดด้วยตัวเอง ด้วยวิธีที่ง่ายเหลือเชื่อ


ปัญหาเท้าเหม็นนั้นถือว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยก็ว่าได้ หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับคนที่ใส่รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าที่ระบายอากาศไม่ดี ถอดรองเท้าออกมาก็คงเหม็นกันทุกคน ซึ้งไม่จริง บางคนใส่รองเท้าหนังถอดรองเท้าออกมายังไม่มีกลิ่นเลย เพราะฉนั้นป้ญหาเท้าเหม็นเป็นเรื่องของบุคคลมากกว่า เรามาดูกันว่าทำไมบางคนเท้าเหม็น บางคนเท้าไม่เหม็น

สาเหตุที่ทำให้เท้าเราเหม็นนั้นไม่ได้เกิดจากเหงื่อที่ออกมาจากเท้าเราโดยตรง แต่เกิดจากแบคทีเรียที่อยู่ที่เท้าของเราต่างหากที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเน่าออกมา โดยเชื้อแบคทีเรียที่ว่ามันก็จะไปทำปฏิกิริยากับเหงื่อที่ออกผสมผสานกันอย่างลงตัวจนได้กลิ่นมาดามเฉพาะตัวออกมา ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เอามากๆ และอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าบางคนที่เท้าเหม็นมากๆนั้นจริงแล้วเค้าเป็น "โรคเท้าเหม็น" หรือ Pitted Keratolysis ซึ่งอาการที่จะสังเกตได้ก็คือ เท้าจะเหม็นอย่างรุนแรง อาจมีหลุมเล็กๆบริเวณฝ่าเท้าและง่ามเท้า บางครั้งเวลาสวมถุงเท้าและถอดออกถุงเท้ามักจะแนบติดกับตัวเท้าจะหนืดนิดนึงเวลาถอด ซึงหากใครเป็นโรคเท้าเหม็นแล้วก็ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะ บางครั้งการเข้าไปปรึกษาแพทย์อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้

แต่ก่อนที่เราจะไปหาหมอเพื่อให้หมอช่วยรักษาอาการเท้าเหม็นนั้น บางทีเราก็ไม่อยากไปหาหมอสักเท่าไร เพราะคงไม่มีใครมีความสุขเวลาไปหาหมอแน่ หากเราสามารถรักษา บำบัด และป้องกันปัญหาเท้าเหม็นด้วยตนเองได้ก็คงจะดีไม่น้อย อย่างแรกก็คือไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาหมอ และไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาค่ายาด้วย มาดูกันเลย

6 วิธีแก้เท้าเหม็นให้หายขาดด้วยตัวเอง


1 แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเกลือ

เป็นวิธีการง่ายๆแต่ได้ผลดีมากก็คือต้มน้ำให้เดือดและทิ้งไว้ให้พออุ่น จากนั้นใส่เกลือแกงที่เรากินกันนี่แหละลงไปในน้ำที่เตรีมไว้ จากนั้นก็เอาเท้าลงแช่ประมาณ 15-20 นาที ทำอย่างนี้ทุกวัน ภายใน 1 เดือนอาหารเท้าเหม็นของเราจะทุเลาลงได้ เท้าจะเหม็นน้อยลงหรืออาจจะหายไปเลยก็ได้

2 แช่เท้าในน้ำยาเดทตอล

หาซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อเดทตอลที่เป็นขวดน้ำสีส้มๆมาโดยเอาผสมกับน้ำในถังหรือกะละมังที่เตรียมไว้ เวลาแช่ก็ให้เอาแปรงที่ใช้ขัดเท้าขัดทำความสะอาดไปด้วย โดยเฉพาะบริเวณซอกเล็บกับง่ามนิ้วเท้าต้องขัดเป็นพิเศษเพราะเชื้อแบคทีเรียจะอยู่แถวนั้นเยอะ ขัดทุกวันก่อนเข้านอนจะช่วยให้เท้าหายเหม็นแน่นอน

3 แช่เท้าในน้ำยาบ้วนปาก

อีกหนึ่งสูตรการแช่เท้าก็คือไปหาซื้อน้ำยาบ้วนปากมาสักขวด เอายี่ห้ออะไรก็ได้ จากนั้นก็เทลงผสมกับน้ำสัก 2 ฝา แล้วก็นั่งแช่ไปเรื่อยๆตามความพอใจ เอาจนเท้าเปื่อยเลยก็ได้ น้ำยาบ้วนปากจะมีตัวยาที่ใช้ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ดีเช่นกัน แช่เป็นประจำก็ช่วยแก้ปัญหาเท้าเหม็นได้เหมือนกัน แต่จะเปลืองตังค์หน่อยนะ

4 ขัดเท้าด้วยสารส้ม

หาซื้อสารส้มมาสัก 1 ก้อน แล้วก็เอาถูให้ทั่วเท้าทั้งฝ่าเท้า ง่ามเท้า หลังเท้า ทำเวลาอาบน้ำก็ได้อาบน้ำไปถูเท้าไป สารส้มเป็นยาระงับกลิ่นอย่างดี นอกจากเอามาขัดเท้าแล้วก็เอามาถูจั๊กแร้สำหรับคนที่มีกลิ่นตัวกลิ่นเต่าแรงๆได้ผลดีสุดๆ แต่ทาบ่อยๆผิวบริเวณนั้นจะตึงและอาจจะแตกได้นะ

5 ขัดเท้าด้วยเบคกิ้งโซดา

ซื้อเบคกิ้งโซดาหรือผงฟูที่เราเอามาทำขนม เช่น ซาลาเปา ขนมถ้วยฟู ขนมสาลี่ นั่นแหละ มันจะเป็นเม็ดละเอียดๆสีขาวๆ เอามาผสมในน้ำพอให้ข้นๆ จากนั้นก็เอามาทาให้ทั่วเท้าแล้วใช้แปรงขัดทุกมุมของเท้าให้สะอาด เบคกิ้งโซดาจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและทำความสะอาดเท้าไปในตัวได้ หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอร์รี่ทั่วไป ไม่แพงด้วยซองเล็กประมาณ 10-12 บาท

6 แก้ปัญหาเท้าเหม็นที่รองเท้า ถุงเท้าของเรา

ซักรองเท้าถุงเท้าให้สะอาด อย่าใส่ถุงเท้าคู่เดิมซ้ำกันหลายๆวัน เปลี่ยนพื้นรองรองเท้าบาง

ที่มา -share-si.com

หยุดเลย!! วิธีชาร์จแบตมือถือแบบผิดๆ..ที่หลายคนยังทำกันอยู่!!



หยุดเลย!! วิธีชาร์จแบตมือถือแบบผิดๆ..ที่หลายคนยังทำกันอยู่!!
นำอะแดปเตอร์และสายชาร์จมั่วซั่วมาใช้กับมือถือของตัวเอง
• มีคนมากมายนำอะแดปเตอร์ตัวอื่นๆที่ไม่ใช่ของเครื่องตัวเองมาชาร์จ
• แต่เราอยากจะบอกคุณว่า อะแดปเตอร์ หรือตัวแปลงกระแสไฟฟ้า มีความแตกต่างกันตามอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ชาร์จไฟ
• ตัวอะแดปเตอร์ที่เราใช้กันอยู่นั้น จะมีข้อมูลเชิงเทคนิคบอกเอาไว้คือ Input-Output หรือกระแสไฟเข้า-ไฟออก
• ยกตัวอย่างเช่น Input 100-240V นั่นหมายถึงว่า อะแดปเตอร์นี้รองรับกระแสไฟฟ้าไหลเข้าโดยมีปริมาณแรงดันไฟอยู่ที่ 100-240 โวลต์ ซึ่งในประเทศไทย ใช้แรงดันไฟฟ้าที่  220 โวลต์ นั่นจึงหมายถึงว่า สามารถใช้กับไฟบ้านในประเทศไทยได้
• ส่วนมากจะเกิดปัญหาเมื่อนำไปใช้งานในต่างประเทศหรือ นำมาจากต่างประเทศ ฉะนั้นคุณควรดูข้อมูลก่อนใช้งาน

Output 2A นั่นหมายถึงว่า ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้ามาชาร์จสมาร์ทโฟนจะมีความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ 2A (2000mAh) ต่อชั่วโมง
• ซึ่งถือว่ากระแสไฟฟ้าไหลเข้ามาเร็วมาก ฉะนั้นคุณต้องดูด้วยว่าโทรศัพท์ของคุณสามารถรองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าขนาดนี้ได้หรือไม่
• ฉะนั้นขอแนะนำให้เลือกใช้อะแดปเตอร์กับสายชาร์จที่มากับตัวเครื่องจะดีที่สุด
คำถามยอดฮิตที่คนมักถามกัน
ถ้าหากซื้อมือถือมาใหม่ต้องชาร์จทิ้งไว้ก่อนหรือไม่
• ถ้าหากเป็นมือถือรุ่นเก่าๆ ที่ซื้อมาใหม่จำเป็นต้องชาร์จไฟทิ้งไว้หรือที่เรียกว่าการกระตุ้นแบต
• แต่ในปัจจุบันมือถือหรือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
• ฉะนั้นไม่มีความจำเป็นต้องชาร์จทิ้งไว้นานๆ หลายชั่วโมง
• คุณสมบัติเด่นของแบตเตอรี่ชนิดนี้คือ จะสามารถชาร์จได้เร็วตั้งแต่ 0-80% เพื่อให้คุณสามารถนำมือถือไปใช้งานได้ทันทีในช่วงเร่งด่วน
• เมื่อถึงเวลาหลังจาก 80% จะเปลี่ยนเป็นการชาร์จแบบช้า เพื่อที่จะได้ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่
• เมื่อโทรศัพท์ชาร์จเต็มที่ 100% สมาร์ทโฟนในปัจจุบันก็จะตัดไฟอัตโนมัติ
ใช้แบตให้หมดแล้วค่อยชาร์จ กลัวครบรอบการชาร์จ
• หลายคนมักเข้าใจว่า รอบการชาร์จจะครบ 1 รอบคือการนับทุกครั้งที่มีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ
• ในความเป็นจริงนั้น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะทำการนับรอบของการชาร์จหลังจากที่ได้คายประจุแบตเตอรี่ครบ 100% แล้วเท่านั้น
• ยกตัวอย่างเช่น ในวันนี้เราใช้ความจุแบตเตอรี่ไป 75% แล้วคุณได้นำไปชาร์จใหม่จนเต็ม และในวันถัดไปใช้อีก 25% รวมแล้วทั้งหมดครบ 100% แบบนี้จึงจะเป็น 1 รอบการชาร์จ
• ฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลหรือรอให้แบตเตอรี่หมดจริงๆ แล้วค่อยชาร์จ เหมือนที่เคยๆทำกันก็ได้

ที่มา:http://www.thaijobsgov.com/jobs/84194

นักพิษวิทยาเตือน!! ต้นตีนเป็ด..เพชฌฆาตเงียบ!!


นักพิษวิทยาเตือนให้ระวังพิษ “ต้นตีนเป็ดน้ำ” นำไปใช้ฆาตกรรมได้อย่างแนบเนียน หลังพบต้นไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตมากผิดปกติในอินเดีย พร้อมๆ กับจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยพิษจากต้นไม้ที่มีจำนวนมากอย่างน่าสงสัย

        ยิวาน เกลการ์ด (Yvan Gaillard) จากห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทางพิษวิทยา Voulte-sur-Rhône ในฝรั่งเศส เปิดเผยว่า “คาร์เบอรา โอดอลลาม” (Cerbera odollam) หรือ พืชสกุล “ตีนเป็ดทะเล” ที่เติบโตอยู่ทั่วอินเดียและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการฆ่าตัวตายของชาวอินเดียมากกว่าต้นไม้อื่นๆ และไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ผู้ชำนาญด้านอายุรเวช และเจ้าหน้าที่ผู้ชันสูตรพลิกศพต่างไม่สามารถตรวจพบได้ว่าผู้ตายเสียชีวิตเพราะพิษของต้นไม้ดังกล่าวจริงหรือไม่
        คณะทำงานศึกษาเรื่องพิษในต้นตีนเป็ดซึ่งนำโดยเกลการ์ด กล่าวว่า มีเอกสารระบุว่าเฉพาะในรัฐเคราลา (Kerala) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย เพียงรัฐเดียวก็ปรากฏจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยพิษจากตีนเป็ดทะเลมากกว่า 500 รายในช่วงปี 1989-1999

        ทีมงานของเกลการ์ดได้ใช้กรรมวิธีโครมาโตกราฟี (chromatography) อย่างละเอียดคู่กับวิธีการแมส สเปกโตรเมทรี เพื่อชันสูตรเนื้อเยื่อว่ามีร่องรอยพิษของต้นไม้ดังกล่าวหรือไม่ โดยทีมงานได้เปิดเผยถึงจำนวนของผู้ที่ถูกพิษเสียชีวิต และระบุว่าอาจจะกลายเป็นการฆาตกรรมโดยไม่มีใครสามารถสังเกตหรือสงสัยได้ เพราะบางรายที่เสียชีวิตด้วยพิษของตีนเป็ด มีข้อสงสัยว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรมมากกว่า



        เมล็ดของต้นตีนเป็ดนั้นมีรสขม แต่ถ้าหากนำมาใช้วางยาพิษ ก็สามารถกลบเกลื่อนได้ด้วยการนำไปบดและผสมกับอาหารที่มีรสจัด เพราะตีนเป็ดน้ำมีสารที่มีฤทธิ์ต่อหัวใจเรียกว่า “คาร์เบอริน” (cerberin) เป็นตัวยาโครงสร้างเดียวกับที่ใช้ในยากระตุ้นหัวใจ พบมากในต้นฟอกซ์โกลฟ์ (foxglove) ซึ่งพิษจากต้นฟอกซ์โกลฟ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีทางตะวันตก

        ส่วนการทำงานของสารกระตุ้นหัวใจในปริมาณมากก็สามารถฆ่าคนได้ เพราะสารดังกล่าวจะไปสกัดกั้นช่องทางเดินของแคลเซียมไอออนในกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งทำให้รบกวนกระบวนการเต้นของหัวใจ และแม้จะสิ้นใจด้วยพิษตีนเป็ด แต่อายุรแพทย์ก็ยังไม่สามารถจะระบุได้ชัดเจนว่าผู้ตายเสียชีวิตด้วยตีนเป็ดน้ำจริงหรือไม่ จนกว่าจะได้หลักฐานว่ามีการกินต้นไม้ชนิดนี้เข้าไป ดังนั้นมันจึงกลายเป็นการฆาตกรรมที่ดูแนบเนียน

        อย่างไรก็ดี 3 ใน 4 ของผู้ที่ตายด้วยพิษตีนเป็ดนั้นเป็นหญิงชาวอินเดีย โดยทางทีมงานคาดว่า อาจเป็นไปได้ว่าต้นไม้ดังกล่าวกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในการปลิดชีวิตภรรยาสาวผู้ที่ไม่สามารถเข้ากับธรรมเนียมและครอบครัวสามีชาวอินเดียได้ และที่สำคัญต้นตีนเป็ดดูเหมือนว่าจะเจริญเติบโตอย่างผิดธรรมชาติในบางพื้นที่ บางทีอาจจะกลายเป็นสิ่งสำคัญในการฆาตกรรมก็เป็นได้
        สำหรับต้นตีนเป็ดทะเล มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cerbera odollum Gaertn. อยู่ในวงศ์ตีนเป็ด APOCYNACEAE ในประเทศไทย พบขึ้นตามชายหาด ริมน้ำ คลอง ห้วยหนอง และบริวเณที่มีอิทธิพลของน้ำกร่อยทั่วไป ในต่างประเทศ พบใน อินเดีย ศรีลังกา อินโดนีเซีย
        ต้นตีนเป็ดมีสรรพคุณทางยา แต่ก็มีพิษไม่น้อยและทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะทั่วไปของตีนเป็ดทะเลเป็นไม้ต้น ขนาดเล็ก ผลัดใบ สูง 3 – 8 เมตร ลำต้นมักแตกกิ่งต่ำ มีดอก ออกเป็นช่อเชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนผลค่อนข้างกลมรี ผลอ่อน สีเขียว ผลแก่จัดสีม่วงถึงม่วงเข้มออกดอกและเป็นผลเกือบตลอดปี


        สรรพคุณทางสมุนไพรของตีนเป็ดน้ำ มีมากมายตลอดทั้งต้น ไม่ว่าจะเป็น แก้ลมให้กระจาย แก้ลม แก้อาเจียน เปลือกต้น เป็นยาถ่าย แก้บิด ขับไส้เดือน แก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ สมานสำไส้ แก้ไข้ แก้นิ่ว แก่น รสเฝื่อน กระจายเลือด แก้อัมพาต ทำให้อาเจียนเป็นยาถ่าย แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้ริดสีดวงทวาร แก้โลหิต แก้โลหิตพิการ แก้ไข้ตัวร้อน ใช้เบื่อปลามีฤทธิ์ต่อหัวใจ มียาบำรุงหัวใจ ทำให้อาเจียน เป็นยาถ่ายทำให้แท้งได้

        อย่างไรก็ดียางจากต้น ใบ และเนื้อในผล รับประทานมากทำให้อาเจียน อาจถึงตายได้ ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา สามารถนำไปใช้กระตุ้นหัวใจ ต้านแบคทีเรีย ต้านมะเร็ง ลดปฏิกิริยาตอบสนอง ต้านการชัก แก้ปวด เสริมฤทธิ์ยานอนหลับ และการทดสอบความเป็นพิษ พบว่าเมื่อฉีดสารสกัดใบเข้าช่องหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้ส้ตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งคือ 20.8 ก/กก.

ที่มา:kaijeaw

แชร์เก็บไว้เลย! ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องรู้ อาหารแบบไหนที่ควรกิน และควรหยุดกินทันที

ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องรู้ อาหารแบบไหนที่ควรกิน และควรหยุดกินทันที!

ความสมดุลค่า pH ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเท่านั้น แต่มันจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน เพื่อสุขภาพที่ดีคุณจะต้องรักษาสภาพความเป็นด่างในร่างกายเนื่องจากสุขภาพโดยรวมได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากพวกมัน
ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุไว้ในร่างกายมนุษย์จะประสบปัญหาอย่างมากกับการรักษาระดับค่า pH เนื่องจากอาหารที่ขาดคุณภาพและความเครียดสามารถเปลี่ยนค่า pH ได้และจะนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บมากมาย

น่าเสียดายที่การควบคุมอาหารอัลคาไลน์เป็นเรื่องยากสำหรับโลกปัจจุบันที่เร่งรีบ เราถูกล้อมรอบไปด้วยอาหารจานด่วนอาหารแปรรูป อาหารแช่แข็ง ขนมหวาน และสารกำจัดศัตรูพืชที่เป็นพิษในผลไม้และผัก สิ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็ง

ยิ่งไปกว่านั้นการรับประทานอาหารที่มีสภาพความเป็นกรดจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งและปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย

มันจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างเพื่อเรียกคืนความสมดุลให้กับร่างกายและเพิ่มความแข็งแรงให้กับสุขภาพที่ดีของคุณ

เราขอนำเสนอข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างมากในการที่จะเรียกคืนสมดุลค่า pH ในร่างกายและรักษาสภาพความเป็นด่าง เพียงคุณมีอาหารที่มีความเป็นด่างติดบ้านคุณไว้ก็จะสามารถช่วยต่อสู้กับการอักเสบและภาวะสุขภาพอื่น ๆ ได้อีกมากมาย

การเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารต่อไปนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด:


อาหารที่เป็นด่างที่คุณควรมีติดบ้านไว้คือ ผักใบเขียวออร์แกนนิค ผักตระกูลกะหล่ำ กะหล่ำปลี บล็อกโคลี่ สมุนไพรและเครื่องเทศ ถั่ว ถั่วเลนทิลและธัญพืช ถั่วลันเตา หัวหอม กระเทียม หอมแดง และต้นหอมจีน และข้าวในปริมาณที่น้อย

นอกจากนี้คุณยังสามารถกิน เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยหญ้า เนื้อปลา หรือสัตว์ปีกออร์แกนนิคประมาณ 2-4 ออนซ์ มารวมกับผักหรือผลไม้สำหรับทานอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์

หลีกเลี่ยงข้าวเหนียว เพราะจะนำไปสู่การเกิดการอักเสบ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลูแตนสูงเช่น ข้าว ข้าวสาลี รวมถึงพาสต้า เค้ก ขนมปัง มัฟฟิน แครกเกอร์ คุกกี้ และขนมอบอื่นๆ อีกหนึ่งวิธีแนะนำคือบริโภคธัญพืชที่ไม่มีกลูแตน เช่น กีนัว บัควีท ผักโขม และข้าวฟ่าง นอกจากนี้คุณควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและน้ำมันเป็นหลัก

จำไว้ว่าน้ำตาลเป็นต้วก่อเซลล์มะเร็ง คุณควรใช้ความหวานจากธรรมชาติแทนน้ำตาล เช่น ว่านหางจระเข้ แอปเปิ้ล มะเดื่อแอปริคอตแห้ง หรือ สับปะรดสด

ศาสตราจารย์ T. Colin Campbell มหาวิทยาลัย Cornell University ได้ดำเนินการศึกษาและพบว่านมเป็นหนึ่งในอาหารที่พบมากที่ก่อให้เกิดมะเร็งเพราะมันมีโปรตีนเคซีน ดังนั้นผลิตภัณฑ์นมจึงควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเนื่องจากมันมีกรดสูงอาจทำให้เกิดการอักเสบการเสื่อมสภาพของกระดูกและการแพร่กระจายของมะเร็ง

ทีมา  : http://www.rak-sukapap.com/

วิธีทำน้ำพริกปลาทู สูตรน้ำพริกรสเด็ด ขายเป็นอาชีพหลักมั่นคงรายได้หลักพัน

วิธีทำน้ำพริกปลาทู สูตรน้ำพริกรสเด็ด ขายเป็นอาชีพหลักมั่นคงรายได้หลักพัน
ส่วนประกอบ


ปลาทูนึ่ง 2 ตัว
น้ำมันพืช 1 ถ้วย
พริกหนุ่ม 5 เม็ด
พริกขี้หนู 13 เม็ด
หอมแดง 5 หัว
กระเทียม 2 หัว
มะนาว 2 ช้อนโต๊ะ/จะใส่หรือไม่ก็ได้ตามชอบ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลาร้าต้มสุกสุก 1/2 ถ้วย
ผักสดหรือผักลวก
วิธีทำ

1. ตั้งกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางจนร้อน ใส่ปลาทูลงทอดจนสุกและหนังปลาเหลืองกรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้น พักให้เย็น แกะเอาแต่เนื้อปลา ใส่ถ้วย พักไว้

2. ตั้งกระทะด้วยไฟกลางให้ร้อน จากนั้นใส่พริกหนุ่มและพริกขี้หนู กระเทียม หอมแดงลงคั่ว ให้ผิวไหม้เล็กน้อย ตักขึ้นลอกเอาแต่เปลือกที่ไหม้ออก

3. โขลกพริกหนุ่ม พริกขี้หนู กระเทียม หอมแดง เข้าด้วยกัน ให้ละเอียด จากนั้นใส่เนื้อปลาทูที่แกะ โขลกต่อพอละเอียด และเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย

3. ใส่น้ำต้มสุก น้ำปลา และน้ำมะนาว ลงในถ้วยน้ำพริก คนให้เข้ากัน ชิมรสให้ออกเปรี้ยว เค็ม เผ็ด รับประทานกับผักลวกหรือผักสด

เขียนสูตรโดยนางสาว วรรณภา เบย์ แก้วประภาค
https://www.gotoknow.org/posts/517514 และคุณ
Chomphoonut Panomai
เครดิภาพจากอินเตอร์เน็ต
http://www.share-si.com/2016/07/blog-post_19.html

น่าจะรู้มาตั้งนานแล้ว!! วิธีกำจัดคราบหนักตามอ่างอาบน้ำและฝักบัว โดยใช้เพียงแค่สิ่งนี้ ...


น่าจะรู้มาตั้งนานแล้ว!! วิธีกำจัดคราบหนักตามอ่างอาบน้ำและฝักบัว โดยใช้เพียงแค่สิ่งนี้ ...
การทำความสะอาดฝักบัวอาบน้ำสร้างความน่ารำคาญมาก แต่ถ้าคุณรู้เคล็ดลับที่ถูกต้องสำหรับการทำความสะอาดหละ เราขอแนะนำวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการกำจัดหนักจากอ่างอาบน้ำและฝักบัวอาบน้ำของคุณ



หากห้องน้ำของคุณถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาด อย่ารอช้านำเคล็ดลับง่ายๆนี้ไปใช้ เริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำพ่นไปที่อ่างอาบน้ำหรือห้องอาบน้ำของคุณด้วยบอแรกซ์แล้วใช้แปรงขัดถูให้สะอาด บอแรกซ์เป็นวิธีที่ง่ายและเร็วที่สุด ในวิธีกำจัดคราบ แต่ถ้าใช้สำหรับฝักบัวอาบน้ำให้ใช้ด่าง เพราะมีช่องที่ทำจากกระจกจึงต้องใช้วิธีการทำความสะอาดที่แตกต่างกัน

เชื่อหรือไม่ว่าคุณต้องใช้น้ำมันสำหรับปรุงอาหารธรรมดาๆ สำหรับทำความสะอาดช่องกระจกของฝักบัวอาบน้ำ เทน้ำมันลงในขวดเพื่อความสะดวก และฉีดพ่นให้ทั่วทุกมุมของช่องฝักบัวอาบน้ำ ปล่อยทิ้งไว้สักพักแล้วเช็ดออกด้วยผ้าขนหนู วิธีนี้ใช้ได้ใน 2 ระดับ มันช่วยล้างคราบสกปรกในห้องอาบน้ำของคุณและมันจะช่วยป้องกันการสะสมสิ่งสกปรกและสบู่

การใช้น้ำส้มสายชู ยังสามารถทำความสะอาดได้อย่างมหัศจรรย์สำหรับอ่างอาบน้ำและฝักบัวของคุณ 2 วิธีนี้มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน เพียงผสมน้ำส้มสายชูและน้ำยาล้างจานในอัตราส่วนที่เท่ากัน

เริ่มต้นด้วยต้มน้ำส้มสายชูให้ร้อนแล้วนำผงซักฟอกลงไปผสมคนให้ละลาย จากนั้นนำส่วนผสมทำความสะอาดห้องน้ำและกระเบื้องของคุณมันทำความสะอาดได้อย่างที่มีประสิทธิภาพ คุณสามารถใช้ทำความสะอาดพื้นผิวอื่น ๆ ในห้องน้ำของคุณ เพียงแค่สเปรย์ทิ้งไว้เป็นเวลา 10 นาทีก่อนที่จะเช็ดมันออก

ที่มา:http://www.rak-sukapap.com/2016/11/blog-post_297.html

สูตรลดน้ำหนักเร่งด่วนด้วย นมกับ ไข่ต้ม 3 วัน 3 กิโล (เห็นผลจริง)

สูตรลดน้ำหนักเร่งด่วนด้วย นมกับ ไข่ต้ม 3 วัน 3 กิโล (เห็นผลจริง)

ลืมบอก สัดส่วนเรา สูง 162 น้ำหนักก่อน ลดสูตรนี้ 53.5 น้ำหนักหลังลดก็ 49.6  ขอบอกว่าสูตรนี้เราทำด้วยตัวเองแล้วเห็นผลจริงแต่ (ออกจะทรมารตัวเองไปนิดนึง)แต่ตัวเราเองอ่ะทำได้ อาจจะมีผักต้มมาเพิ่มเติมเวลาหิวนิดหน่อย แต่ขอบอกสูตรนี้ งดขนมหวาน ขนมกรุบกรอบ โดยเด็ดขาด ย้ำว่าเด็ดขาด

สิ่งที่ต้องมีคือ ไข่ กับ นม และใจ

วันแรก

เช้า- น้ำ 1 แก้วเต็มๆอัดเข้าไปเลยยย ต้มไข่กิน 1 ลูกระหว่างนั้นถ้าหิวกินนม หรือน้ำก็ได้

กลางวัน- ไข่อีก 2 ลูก ตามด้วยนม หรือผักต้ม

เย็น- ตอนเย็นเรากินนมแล้วออกกำลังกายขานิดหน่อย แล้วอาบน้ำนอนเลย เรานอนก่อน 3 ทุ่มทุกวัน (จะได้ผิวสวยๆ)
วันที่สอง


เช้า-ตื่นมา อัดน้ำ 1 แก้ว ต้มไข่ 2 ฟอง ผักต้ม น้ำและนม (ที่ยัดเยอะ เพราะ วันที่2 เชื่อเลยว่าต้องมีคนตบะแตกแน่นอน)

กลางวัน- ไข่ 1 ฟอง พร้อมผักต้ม และนม

เย็น- เราทำเหมือนวันแรกเรย

วันที่สาม



เช้า- อัดน้ำ 1 แก้ว ไข่ต้ม 1 ฟอง ขนมปังก็ได้ น้ำและนม

กลาง- ไข่ 1 ฟอง พร้อมผักต้ม และนม

เย็น- เราทำเหมือนวันแรกเรย อาจจะให้รางวัลตัวเองหน่อยนิดนึงก็ได้ที่ทำเสร็จ


ก็มีเท่านี้ละค่ะ ที่เราลดได้เลยอยากมาบอก สำหรับเราทำได้น่ะ สำหรับเพื่อนๆเราก็ไม่รู้ มันแล้วแต่บุคคลเนอะ ว่ามีความอดทนและวินัยมากแค่ไหน ขอให้พยายามกันน่ะค่ะ สู้ๆ

อ้างอิง http://sz4m.com/b3660521
share-si.com

ลองทำแล้วชีวิตดีขึ้นทันตา บทกรวดน้ำให้แก่ เทวดาประจำตัว แชร์เป็นธรรมทาน

ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ชีวิตเจอแต่ปัญหา จะเริ่มต้นทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ลองทำแแบบนี้ดู บทกรวดน้ำให้แก่ เทวดาประจำตัว ทำแล้วดีกับตัวเรา เพื่อความสบายอกสบายใจของเรา และช่วยให้เรามีกำลังใจดีๆในชีวิต สำหรับใครที่กำลังจะเริ่มต้นสิ่งดีๆในชีวิต

บทกรวดน้ำให้แก่ เทวดาประจำตัว ทำแล้วดีกับตัวเรา

บทกรวดน้ำให้แก่ เทวดาประจำตัว (ภายหลังทำบุญ เช่น ตักบาตร ถวายสังฆทาน เป็นต้น) เปิดทาง และช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเตรียมน้ำสะอาดไว้ ๑ ขวด และนำจรดระหว่างคิ้ว กล่าวคำอธิษฐานจิต ดังต่อไปนี้

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(3 จบ)

นะ โม พุท ธา ยะ ลูกขอเชิญพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์โปรดเสด็จมาเป็นประธาน อิทัง สัพพะเทวานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวงที่รักษาตัวข้าพเจ้า ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข (ให้เริ่มเทน้ำลงบนพื้นดิน) ลูกขอฝากน้ำอุทิศนี้ไปกับ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา โปรดมาเป็นทิพย์พยาน ขออานิสงค์ผลบุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้า ชื่อ……………สกุล……………. ได้กระทำในวันนี้ ทั้งหมด ทั้งปวง ข้าพเจ้าขออุทิศให้กับเทวดาทั้งหลายทั้ง ปวงของข้าพเจ้า อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ที่ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์……………………… (เรื่องที่ประสบปัญหา) ไม่ว่าท่านจะมาจาก ชาติใด ภพใด ก็ตาม ทั้งระลึกได้ก็ดีและระลึกไม่ได้ก็ดี ไม่ว่าท่านจะอยู่ในภพภูมิใด ขอให้ท่านจงมารับกุศล ที่ข้าพเจ้าอุทิศให้ในครั้งนี้ โดยมาให้ถึงจุดหมาย อย่าแวะ อย่าเวียนที่ใด ให้กุศลถึงทั่ว ทุกท่าน ทุกตัว ทุกตน ทุกภพ ทุกภูมิ ขออานิสงค์ผลบุญดังกล่าวนี้โปรดกลายเป็นโภคทรัพย์ ตามที่ท่านปราถนาทุกประการตั้งแต่บัดนี้ เวลานี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ

หมายเหตุ:

– การกรวดน้ำลงดินกุศลจะส่งถึงเร็วกว่าการกรวดน้ำแห้ง คือ เพียงอธิษฐานจิต สำหรับผู้ที่บารมียังไม่มากพอ (ถ้าไม่สะดวกก็กรวดน้ำลงบนภาชนะแล้วนำไปรดลงดินที่โคนต้นไม้)

– การขอฝากผ่านบารมีของพระแม่คงคาและพระแม่ธรณีไปสิ่งสำคัญมาก

– ระหว่างท่องคำกรวดน้ำด้านบน ให้เทน้ำลงดินตลอดจนจบคำกรวดน้ำ

ไม่ว่าน้ำจะเหลือมากน้อยเพียงใดให้เทให้หมดพร้อมกับคำพูดสุดท้ายที่จบ โดยไม่ต้องให้หลงเหลือ

ขอบคุณข้อมูลที่มาจาก: facebook พระอธิการ นพดล กันตสีโล วัดหนองรั้ว
ทีมา share-si.com

ตำรายา แก้นิ่วในไตจากแตงกวา

นิ่วในไตที่ต้องผ่า สู้แตงกวาไม่ได้!! ปีก่อน คุณเช เพื่อนบ้านที่รู้จักกัน ท่านไปหาหมอที่โรงพยาบาลน่าน ทราบภายหลังว่าเป็นนิ่วในไต หมอได้ทำการ X-ray พบว่าอาจจำเป็นต้องผ่า

หากทานยาแล้วไม่ได้ผล คุณเชเลยมาปรึกษาเรื่องจะขอให้ปรุงยาสมุนไพรให้ทาน ด้วยความที่ทราบจากตำราโบราณเรื่องนิ่ว ว่ามีหนทางรักษามากมาย แต่เห็นวิธีนี้แล้วง่าย ได้ผลดีมาก ไม่อันตรายจนเกินไป เลยแนะนำให้คุณเชไปทำดู

ตำรายาแก้นิ่วในไตจากแตงกวา
1. แตงกวาขนาดยาว 1 คืบ
2. สารส้มตำละเอียด 2 ช้อนชาพูน
3. น้ำอ้อยสด 1/2 แก้ว
4. น้ำสับปะรดสด 1/2 แก้ว

วิธีทำ
     ตัดจุกแตงกวาออก ควักเอาเมล็ดออก ใส่สารส้มตำละเอียดลงไป แล้วห่อด้วยกระดาษฟรอย นำไปวางไว้บนเตาถ่านในแนวตั้ง ให้สามารถเห็นข้างในได้ว่าสารส้มและเนื้อแตงกวาละลายเป็นน้ำหรือยัง หากละลายแล้ว
ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วคั้นน้ำแตงกวาออกมาเก็บไว้

วิธีรับประทาน
     ผสมน้ำสับปะรดและน้ำอ้อยให้เข้ากัน ใส่น้ำแตงกวาลงไป 1 ช้อนชา(เท่านั้น) คนๆ ดื่มก่อนอาหาร 20-30 นาที 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์ สังเกตจากเวลาปัสสาวะจะมีเศษนิ่วค่อยๆหลุดออกมาทีละน้อยครับ

คุณเช ใช้เวลารักษาประมาณเดือนกว่าๆ โดยไม่ได้ทานยาหมอแม้แต่เม็ดเดียว หมอนัดไปตรวจอีกครั้งด้วยการ X-ray ปรากฎว่านิ่วเล็กลงจนแทบมองไม่เห็น และหยุดจ่ายยาครับ
ท่านที่เป็นนิ่วขอรับการรักษาได้ที่คลินิกครับ เราร่วมมือกับคลินิกนายแพทย์แสนพลเพื่อทำการอัลตราซาวด์ดูขนาดเม็ดนิ่วที่เป็นไปได้ว่าสามารถทำการรักษาโดยการทานยาสมุนไพรได้หรือเปล่า แต่ยาที่ใช้เป็นยาบำรุงไตครับ สูตรนี้จะใช้เสริมกรณีเม็ดนิ่วเม็ดใหญ่เกินกว่ายาบำรุงไตจะขับได้

photo : pixabay
ข้อมูลสุขภาพจาก - คลินิกสมุนไพรหมอศุภการแพทย์แผนไทย
senesouk.com

ศัตรูของมะเร็ง!! อาหาร 8 อย่างที่มะเร็งไม่ชอบ รู้แล้วชีวิตจะดี๊ดี..แน่นอน

ศัตรูของมะเร็ง!! อาหาร 8 อย่างที่มะเร็งไม่ชอบ รู้แล้วชีวิตจะดี๊ดี..แน่นอน

มะเร็ง หรือ เนื้องอกร้าย มีสาเหตุของโรคที่ค่อนข้างหลากหลาย วันนี้เราแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับ “ศัตรูของมะเร็ง” อีกหนึ่งวิธีป้องกันการเกิดมะเร็งที่คุณเองก็สามารถทำได้ เพียงแค่รับประทานอาหารต่อไปนี้…
1. ศัตรูของมะเร็งกระเพาะอาหารคือ กระเทียม

2. ศัตรูของมะเร็งตับคือ เห็ด 

3. ศัตรูของมะเร็งตับอ่อนคือ บร็อคโคลี่ 

4. ศัตรูของมะเร็งปอดคือ ผักโขม 

5. ศัตรูของมะเร็งลำไส้คือ หน่อไม้น้ำ 

6. ศัตรูของมะเร็งเต้านมคือ สาหร่ายทะเล 

7. ศัตรูของมะเร็งผิวหนังคือ หน่อไม้ฝรั่ง 

8. ศัตรูของมะเร็งปากมดลูกคือ ถั่วเหลือง 

ดังนั้น เราจึงควรหันมาบริโภคศัตรูของมะเร็ง นับแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ 

11 วิธีง่ายๆ ห่างไกลโรคมะเร็ง 

1. ดื่มน้ำที่สะอาด การลดสารที่ก่อตัวทำให้เกิดโรคมะเร็งวิธีหนึ่ง คือการดื่มน้ำที่สะอาด จากการศึกษาที่เพิ่มค้นพบใหม่จากสถิติของสถาบันมะเร็งพบว่าการดื่มน้ำสะอาดจากเครื่องกรองจะดีกว่าการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่มีคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน และจากการศึกษาของสมาคมสิ่งแวดล้อมพบว่าการเก็บรักษาน้ำในเหยือกแก้ว หรือภาชนะสเตนเลส จะดีกว่าการเก็บรักษาในภาชนะพลาสติก

2. พยายามหลีกเลี่ยงการสูดดมหรือสัมผัสก๊าซขณะเติมน้ำมันรถ เพราะสารพิษที่อยู่ในอากาศสามารถเข้าสู่ปอดและหากกระเด็นสู่ผิวหนังจะทำให้เกิดมะเร็งได้

3. การหมักเนื้อสัตว์ก่อนการปรุงอาหาร การทำอาหารประเภทปิ้งย่างนั้นหากไหม้หรือมีเศษสีดำของการเผาของถ่านติดอยู่จะทำให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นหากจะทำการปิ้งย่างอาหาร งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Kansas พบว่าการหมักเนื้อสัตว์เหล่านั้นก่อนการปิ้งย่างอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมงสามารถลดสารก่อมะเร็งจากการปิ้งย่างเผาได้ถึง 87%

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างพอเพียงสามารถลดความเข้มข้นของการขับถ่ายปัสสาวะได้และลดมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นกับกระเพาะปัสสาวะได้ด้วย ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันหรือให้ปริมาณปัสสาวะมีสีเจือจางเมื่อขับถ่ายทุกครั้ง

5. รับประทานผักผลไม้สีเขียว เพราะสารแมกนีเซียมจากพืช ผักสีเขียวช่วยลดมะเร็งลำไส้ได้โดยเฉพาะสุภาพสตรี อีกทั้งการได้รับสารแมกนีเซียมที่เพียงพอ จะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานอย่างปกติ การรับประทานผักขมครึ่งถ้วยต่อวันให้ปริมาณแมกนิเซียม 75 มิลลิกรัม ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

6. ออกกำลังกายลดการเกิดมะเร็งเต้านม การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเผาผลาญไขมัน ดังนั้นการออกกำลังกายโดยการเดินเร็วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 18%

7. ลดการส่งเสื้อผ้าไปซักแห้ง จากการวิจัยของ National Academies of Science เมื่อต้นปี 2010 ระบุว่าการซักแห้งหรือซักน้ำมันโดยสาร perc (perchloroethylene) จะมีผลให้เกิดการก่อสารมะเร็งต่อปอด ไตและตับได้เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน ดังนั้นการใช้สารซักแห้ง ซักน้ำมันที่ทำให้ผ้าเรียบอาจไม่ปลอดภัยอีกแล้ว

8. ลดการใช้ปริมาณสารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารฟอกขาว สารเคมีในการขัดห้องน้ำ สารขจัดคราบสกปรกต่างๆ เพราะหากใช้สารเหล่านั้นเป็นเวลานาน การสูดดมหรือสัมผัสจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ การทำความสะอาดห้องน้ำโดยใช้น้ำส้มสายชูก็เป็นทางเลือกใหม่ที่ดีไม่น้อย

9. หลีกเลี่ยงการผ่านสารรังสี ไม่ว่าจะเป็นการฉายแสงตรวจดูมะเร็งเต้านมประจำปี การทำแมมโมแกรม เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งถึง 4-5 เท่าเลยทีเดียว การตรวจมะเร็งโดยใช้วิธีคลำหา และไม่ผ่านรังสีอาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะการเกิดมะเร็งได้ดีกว่า

10. ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือโดยการแนบหูเป็นเวลานาน เนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์มีคลื่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้โทรศัพท์โดยมีอุปกรณ์เสริมจะลดผลกระทบต่อระบบประสาทและสมองได้

11. ทาโลชั่นกันแดด เนื่องจากแสงยูวี จากแสงอาทิตย์มีปริมาณมากในปัจจุบันทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังได้ ดังนั้นการทาโลชั่นกันแดดจะช่วยลดปริมาณแสงอาทิตย์ที่จะส่งผลต่อมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะคนที่ศีรษะล้าน มีผมน้อยควรทาโลชั่นกันแดดเพื่อลดปริมาณสารยูวี

ข้อมูลจาก...นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี

น้ำมันมะพร้าว สามารถฆ่าเชื้อมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ กว่า 93%

สุดยอด!! “น้ำมันมะพร้าว” สามารถฆ่าเชื้อมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ กว่า 93% น่าทึ่งสุดๆ

รู้หรือไม่ว่า น้ำมันมะพร้าวมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อไวรัส เชื้อราจำพวกปรสิต และแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้มันยังช่วยในการย่อยอาหาร การทำงานของตับ และรักษาบาดแผลอีกด้วย ในทางการแพทย์เริ่มนำมันมาใช้ในการรักษาโรคหัวใจและเบาหวานแล้ว
การวิจัยในห้องปฏิบัติการล่าสุดแสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะพร้าวมีศักยภาพในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริคที่มีความสามารถที่จะฆ่า 93% ของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ภายใน 48 ชั่วโมง

น้ำมะพร้าว

กรดลอริฆ่าเซลล์มะเร็ง แต่ยังปลดปล่อยความเครียดออกซิเดชัน นอกจากนี้ยังพร้อมกันช่วยลดระดับกลูตาไธโอน จากการวิจัยพบว่า น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริค ที่มีศักยภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 93% ภายใน 48 ชั่วโมง นอกจากกรดลอริคจะช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้แล้ว ยังสามารถลดระดับกลูตาไธโอนในร่างกายอีกด้วย

เรียกได้ว่าประโยชน์ล้นหลามจริงๆค่ะ สาวๆเห็นมั้ยคะว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีดีแค่บำรุงผม บำรุงผิวแล้วนะ ยังมีดีในทางการแพทย์อีกมากมายเลยล่ะ

ขอบคุณเนื้อหาโดย : kaijeaw.com

ต่อไปนี้อย่าเพิ่งโยนทิ้ง...เปลือกแก้วมังกรมีประโยชน์มากๆ!

อย่าเพิ่งโยนทิ้ง...เปลือกแก้วมังกรมีประโยชน์มากๆ!

เป็นที่รู้ๆ กันว่าสารต้านอนุมูลอิสระมีส่วนช่วยยับยั้งเซลล์ป้องกันริ้วรอยอันเกิดก่อน วัย และเจ้าเปลือกแก้วมังกรที่หลายๆ คนมองข้ามนี่แหละอุดมไปด้วยสารอาหารชนิดนี้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอีกด้วยนะ
โดยปกติแล้วเราทานแก้วมังกรเฉพาะเนื้อแล้วโยนเปลือกทิ้งไป แต่อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน! มีงานวิจัยมากมายที่ค้นพบคุณค่าสารอาหารในแก้วมังกร ทั้งอุปโภค บริโภค ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างนั้นลองมาดูกันเลย

ใช้ทำบรัชออน – ลิปสติก

น้อง เมย์ กนกเนตร สุภาศรี นักเรียนชั้นม. 5 โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ซึ่งทางครอบครัวมีอาชีพเพาะปลูกแก้วมังกร จึงได้ทำการวิจัยค้นคว้าคุณประโยชน์จากเปลือกแก้วมังกร กระทั่งพบว่า สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในแป้งฝุ่น บรัชออน รวมถึงลิปสติกได้ด้วย โดยการนำเปลือกแก้วมังกรสีสวยเข้ากับน้ำเปล่า หมักทิ้งไว้ 12 ชั่งโมง ผสมน้ำหมักแก้วมังกรที่มีสีชมพูม่วงสวยๆ เข้ากับแป้งมัน จากนั้นกวนให้สุกแล้วนำไปตากแห้ง แล้วจึงบดให้เป็นผงพร้อมใช้งาน ในจุดนี้สามารถนำไปทำการวิจัยค้นคว้าต่อไปได้

ใช้แทนสีผสมอาหาร

เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยล่ะ เมื่อเราไม่ต้องใช้สีสังเคราะห์ในการทำขนมนมเนยอีกต่อไป เมื่อเรากวนแป้งผสมเปลือกแก้วมังกรให้แห้ง บดเป็นผงพร้อมใช้งาน จากนั้นเราก็นำไปละลายในน้ำเพียงเล็กน้อยก็จะได้สีผสมอาหารจากธรรมชาติแล้ว ล่ะ ซึ่งปัจจุบันชาวบ้าน อ. ดอยสะเก็ด ได้นำสีจากแก้วมังกรไปทำขนมปุยฝ้าย ทับทิมกรอบ วุ้น ซาหริ่ม ปุยฝ้าย ขนมชั้น เป็นต้น

ใช้สีแก้วมังกรย้อมเซลล์ทางวิทยาศาสตร์

เป็น เรื่องที่น่าดีใจมาก เมื่อสีจากเปลือกแก้วมังกร สามารถนำไปย้อมเซลล์ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยน้องเมย์ทดลองนำไปย้อมพืชใบเลี้ยงเดี่ยว-เลี้ยงคู่ อนาคตอาจนำไปใช้ในห้องแล็ปและอาจทำการย้อมอวัยวะภายในเพื่อตรวจหาโรคทดแทน การใช้สีสังเคราะห์ที่นำเข้าจากต่างประเทศอีกด้วย

ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางประทินผิว

ขณะ นี้กำลังอยู่ในกระบวนการทดลองเพื่อให้สีคงความเข้มข้นเมื่ออยู่ในส่วนผสมที่ เป็นน้ำหรือน้ำมันมากๆ เนื่องจากการทดลองที่ผ่านมาทำให้สีจากแก้วมังกรซีดลงกลายเป็นสีชมพูไม่คง ความเข้มข้นของสีไว้ดังเดิม แต่คาดว่าน่าจะทำหารวิจัยสำเร็จและอาจต่อยอดใช้เป็นสีผสมใน โลชั่น เจลอาบน้ำ ครีม เจล เป็นต้น

กินป้องกันแก่ – สมองเสื่อม

รู้ กันหรือไม่ว่าเปลือกแก้วมังกรอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หนึ่งในนั้นคือสารแอนโทไซนานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีประสิทธิภาพสูงกว่าเบต้าแคโรทีน 10 เท่า ช่วยต้านออกซิเดชั่น ป้องกันอนุมูอิสระ ชะลอความแก่ และป้องกันสมองเสื่อม รวมถึงโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย

นอกจากนี้สารแอนโทไซยานิ นยังช่วยสร้างความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด ปกป้องผนังหลอกเลือดแดง ลดความดัน บำรุงผิวให้กระจ่างใสไร้รอยด่างดำ ป้องกันการอักเสบและอาการแพ้ บำรุงข้อต่อให้มีความยืดหยุ่น และบำรุงสายตาต้านรังสี ควบคุมน้ำหนักเป็นต้น

เมนูจากเปลือกแก้วมังกร

รับประทานโดยตรง: คือคว้านเอาด้านในของเปลือกมารับประทานได้เลย

คั้นเป็นน้ำดื่ม: วิธีจะทำให้คุณรับประทานได้ง่ายขึ้น วิธีทำง่ายๆ คือ คว้านเอาด้านในของเปลือกแก้วมังกรมาคั้นรวมกับน้ำ เติมน้ำตาลลง เพียงแค่นี้คุณก็จะได้น้ำผลไม้รสชาติหอม หวาน อร่อย แถมยังช่วยดับกระหายได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ

ยำแก้วมังกรแบบคลีน: ง่ายๆ เพียงแค่ฝานเปลือกแก้วมังกรเป็นเส้นบางๆ จากนั้นนำมาคลุกกับน้ำมันงา ผสมซุปไก่สกัดลงไปพร้อม ชิมรสตามชอบ อาจเติมน้ำตาล หรือเกลือเพียงเล็กน้อย แค่นี้ก็ได้อาหารสุดจะคลีนแล้ว

ชุบแป้งทอด: นำเปลือกแก้วมังกรไปหั่นเป็นเส้นตามยาวเหมือนเฟรนฟราย จากนั้นนำไปชุบแป้ง(สำหรับทอด) และทอดด้วยไฟแรง คุณก็จะได้เมนูทานเล่นในวันว่างหรือเป็นกับแกล้มก็เข้ากันดี

แกงส้มเปลือกแก้วมังกร: เมนูนี้ไม่ต่างอะไรจากแกงส้มปกติ เพียงแค่หั่นเปลือกแก้วมังกรเป็นเส้นยาว จากนั้นนำลงไปในหม้อน้ำเดือด ปรุงรสด้วยพริกแกงส้มและเครื่องปรุง คำแนะนำถ้าอยากให้อร่อยควรตำพริกแกงเองใหม่ๆ จะทำให้น้ำซุปเข้มข้นมากขึ้น

ยำเปลือกแก้วมังกรแบบไทย : เมื่อคุณชุบแป้งทอดเปลือกแก้วมังกรไว้ทานเล่นแล้ว อาจจะเพิ่มรสชาติความอร่อยด้วยการปรุงน้ำยำใช้สำหรับราด รสชาติของน้ำยำจะคล้ายกับยำถั่วพูคือใส่กะทิลงไปด้วยจะเพิ่มความ หอม หวาน อร่อย ของยำแก้วมังกรมากยิ่งขึ้น

ที่มา:http://www.naarn.com/7105/

Powered by Blogger.