Showing posts with label กฎหมาย. Show all posts
Showing posts with label กฎหมาย. Show all posts

งานนี้ยึดจริง!? ตร.เคร่งประกาศแล้วไม่มีใบขับขี่ พรบ. ยึดรถ! เริ่มเเล้วสัปดาห์หน้า! (รายละเอียด)




เริ่มเข้มงวดขึ้นมาเรื่อยๆสำหรับกฎหมายทางจราจรลดอุบัติเหตุ พบไม่มีใบขับขี่พ.ร.บ.ยึดรถชั่วคราว โดยทางด้าน พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดผยว่า ได้วางแนวทางแก้ปัญหาการจราจรติดขัดและลดอุบัติเหตุและความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความผิดที่ส่งผลกระทบให้การจราจรติดขัด โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ขับรถย้อนศร ขับขี่บนทางเท้า


โดยทางทางด้าน พล.ต.ท.วิทยา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ” โดยจากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ พบว่าที่ไม่มีประกันภัยภาคบังคับมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตถูกต้อง โดยการจับปรับจะเน้นประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเป็นหลัก และการตั้งด่านกวดขันต่อไปนี้จะไม่เป็นลักษณะที่ตำรวจเดินวนรอบรถ แต่จะเน้นตั้งด่านตรวจในจุดที่มีการฝ่าฝืนและมีปัญหาการจราจรเป็นประจำและเห็นการกระทำผิดชัดเจนเท่านั้น เพื่อลดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน “

โดยจากสถิตินั้นพบว่ารถจักรยานยนต์มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะกรณีขับรถย้อนศรเป็นสาเหตุสำคัญที่ให้เกิดการสูญเสีย โดยกรณีการเกิดอุบัติเหตุกับรถจักรยานยนต์มีอัตราผู้บาดเจ็บประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ และพบอัตราการเสียชีวิตถึง 60 เปอร์เซ็นต์


เเต่อย่างไรก็ตามนั้น สำหรับแนวทางในการปฏิบัติ จึงได้มีการกำชับให้รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 ที่รับผิดชอบงานด้านการจราจร และได้มีนโยบายให้สถานีตำรวจ 88 สน. กำหนดแผนการดำเนินการแต่ละเส้นทาง ทั้งในชั่วโมงเร่งด่วนและนอกชั่วโมงเร่งด่วน โดยจะใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
ที่มา:http://www.politic.zocialx.com/23253

ใครเสียภาษีต้องรู้ ! 18 ช่องทางขอ “ลดหย่อนภาษี”…ทำแล้วได้เงินคืนเป็นกอบเป็นกำ


อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีแล้ว และเทศกาลเสียภาษีประจำปี 2560 ก็จะเข้ามาใกล้เหล่ามนุษย์เงินเดือนทุกท่านเข้าทุกทีๆ ทำให้หลายๆคนต่างพากันหาช่องทาง “การลดหย่อน” กันจ้าละหวั่น
แต่ที่คุณกำลังมีอยู่ในมือนั้นครอบคลุมทั้งหมดแล้วหรือยัง วันนี้แอดมินได้รวบรวมข้อมูลหรือช่องทางการลดหย่อนภาษี 18 อย่าง มาให้ทุกท่านได้รีบศึกษากันก่อนที่จะยื่นเสียภาษีในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2560 นี้ จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย


1. ค่าลดหย่อนส่วนตัว สำหรับผู้ที่เงินได้แบบแสดงรายการ จำนวน 30,000 บาท

2. ค่าลดหย่อนคู่สมรส สำหรับสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้เพิ่งแต่งงานไม่ครบปีก็สามารถลดหย่อนได้เช่นกัน จำนวน 30,000 บาท

3. บุตร หากมีบุตรไม่เกิน 3 คน สามารถลดหย่อนได้ถึง 15,000 บาท ยิ่งถ้าลูกของคุณเรียนอยู่ในเมืองไทยจะสามารถลดเพิ่มได้อีก 2,000 บาท

4. อุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา สำหรับคนที่ดูแลพ่อแม่ ซึ่งพ่อหรือแม่ต้องมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท สามารถใช้ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท

5. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ บิดา มารดา เช่นเดียวกับข้อ 5 พ่อหรือแม่ต้องมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท และจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท


6. อุปการะเลี้ยงดูบุคคลทุพพลภาพหรือคนพิการ โดยบุคคลเหล่านี้ต้องมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท สามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท

7. ประกันชีวิต นอกจากจะคุ้มครองชีวิตแล้วช่วงนี้ยังสามารถนำค่าเบี้ยประกันที่จ่ายในแต่ละปีมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาทด้วย

8. LTF สามารถลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ หรือสูงสุด 500,000 บาท

9. RMF เช่นเดียวกับ LTF โดยสามารถลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ หรือสูงสุด 500,000 บาท



10. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากกองทุนนี้จะทำให้คุณมีเงินเก็บแล้ว ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีก 15% ของค่าจ้าง หรือไม่เกิน 500,000 บาท

11. เบี้ยประกันบำนาญที่ถูกหักภาษี สามารถลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ หรือสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท

12. กองทุนบำเหน็ดบำนาญข้าราชการ สามารถลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท

13. ค่าประกันสังคม เงินที่คุณโดนหักไปเป็นประจำทุกๆเดือนไม่ได้หายไปอย่างสูญเปล่า เพราะสามารถนำยอดประกันสังคมทั้งหมดมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท



14. ค่าท่องเที่ยว รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการเข้าพักโรงแรมหรือซื้อทัวร์ในประเทศไทยภายในวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2559 ที่ออกในรูปใบกำกับภาษีที่อยู่ในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาท สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด

15. ช้อปช่วยชาติ อยากซื้ออะไรให้ไปซื้อเลยช่วงสิ้นปีนี้ เพราะคุณสามารถนำใบกำกับภาษีที่มีวงเงินไม่เกิน 30,000 บาท มาลดหย่อนภาษีได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้น ไม่รวมการซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ น้ำมัน ก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และ เรือ

16. ดอกเบี้ยเงินกู้ สำหรับกู้ยืมเงินมาซื้อหรือเช่าอาคารที่อยู่อาศัยในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้

17. เงินที่ใช้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือที่ดิน ที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท ไหนๆก็เสียเงินก้อนกับทรัพย์สินก้อนโตไปแล้ว นอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง ยังสามารถลดหย่อนภาษีได้อีกไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าทรัพย์สิน

18. เงินบริจาค ไม่ว่าคุณจะบริจาคเงินให้กับองค์กรใดๆสามารถนำใบอนุโมทนาบัตรมาใช้เป็นส่วนลดภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม สภากาชาดไทย สถานพยาบาล สถานศึกษาของทางราชการ องค์การของรัฐบาล สถานศึกษาเอกชน สถานสาธารณกุศล และกองทุนสวัสดิการภายในส่วนราชการ โดยสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินคงเหลือ ที่ผ่านการหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว


จะเห็นได้ว่ามีช่องทางมากมายที่จะช่วยให้คุณได้เงินคืนมาอย่างเป็นกอบเป็นกำ เพียงแต่ว่าคุณจะต้องเก็บหลักฐานทุกอย่างให้ดี เพราะเมื่อถึงเวลายื่นภาษี สรรพากรอาจจะสุ่มชื่อคุณเพื่อขอดูกหลักฐานการลดหย่อนภาษีทั้งหมดได้
ซึ่งหากคุณยื่นหลักฐานปลอมหรือสร้างหลักฐานปลอมขึ้นมา ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และต้องมากลับมาชดใช้ในสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก กรมสรรพากร

ที่มา:http://www.thaijobsgov.com/jobs/85238

ระวัง!! ขับรถป้ายแดง อาจโดนปรับหนักสุดถึง 1 หมื่นบาท!!



ระวัง!! ขับรถป้ายแดง อาจโดนปรับหนักสุดถึง 1 หมื่นบาท!!
ช่วงนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะเจอกับรถป้ายแดงอยู่เสมอ เพราะยังมีรถใหม่น่าซื้อให้ได้เป็นเจ้าของกันอย่างไม่ขาดสาย

ระวัง!! ขับรถป้ายแดง อาจโดนปรับหนักสุดถึง 1 หมื่นบาท!!
ช่วงนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะเจอกับรถป้ายแดงอยู่เสมอ เพราะยังมีรถใหม่น่าซื้อให้ได้เป็นเจ้าของกันอย่างไม่ขาดสาย


แม้ว่าหลายคนจะภูมิใจกับการใช้รถป้ายแดง แต่รู้หรือไม่ว่า ตามกฎหมายแล้วการขับรถป้ายแดงมีข้อห้ามสารพัด ซึ่งหากคุณตำรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ก็อาจต้องเสียค่าปรับหลักหมื่นโดยไม่รู้ตัว คราวนี้เราจะพาไปรู้จักการขับขี่รถป้ายแดงที่ถูกต้องตามกฎหมายกัน
1.ต้องลงคู่มือป้ายแดงเสมอ

รถป้ายแดงจะมาพร้อมกับสมุดคู่มือประจำรถ ซึ่งการขับรถทุกครั้งจะเป็นต้องลงรายละเอียดให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นชื่อผู้ขับรถ, เวลาใช้รถ, จุดหมายปลายทาง ฯลฯ ซึ่งปกติแล้วตำรวจจะอนุโลมไม่ตรวจเช็คสมุดดังกล่าว แต่อย่าลืมว่าตามกฎหมายแล้วคุณต้องลงเล่มทะเบียนทุกครั้งที่ใช้งาน หากมิเช่นนั้นจะมีความผิดตามมาตรา 28 และ มาตรา 61 ถูกปรับเป็นเงินไม่เกิน 1,000 บาท หากคุณตำรวจเอาจริง

2.ใช้กลางคืนได้แต่ต้องได้รับอนุญาต
ปกติแล้วรถป้ายแดงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานตอนกลางคืน เนื่องจากง่ายต่อการกระทำผิดและหลบหนี เนื่องจากแผ่นป้ายสีแดงจะมองเห็นได้ยากกว่าป้ายสีขาวทั่วไป แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ ผู้ขับขี่จะต้องลงบันทึกการใช้รถ พร้อมทั้งต้องมีลายเซ็นจากนายทะเบียน จึงจะสามารถใช้งานในเวลากลางคืนได้ตามกฎหมาย

ที่มา:http://www.liekr.com/post_143785.html

โดนลูกหนี้เบี้ยวจ่าย ฟ้องคดีได้ไหม ??


การกู้ยืมเงินกันเมื่อมีปัญหาขึ้นมา ถ้าจะต้องฟ้องร้องเป็นคดีจะใช้หลักฐานที่สำคัญคือหลักฐานเป็นหนังสือดังในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ดังนั้น เงื่อนไขที่จะฟ้องคดีกู้ยืมเงินจะต้องมีลักษณะ ดังนี้
    ๑. กู้ยืมกัน ๒,๐๐๐ บาทหรือ น้อยกว่า ๒,๐๐๐ บาท ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องคดีได้
    ๒. กู้ยืมเงินกันกว่า ๒,๐๐๐ บาท ขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้กู้
    ๓. หลักฐานเป็นหนังสือ ที่สำคัญคือ จะต้องปรากฏลายมือชื่อผู้กู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๔๘/๒๕๓๐

    จำเลยเขียนจดหมายถึงโจทก์ มีใจความว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปเพื่อสร้างบ้าน ท้ายจดหมาย จำเลยเขียนชื่อเล่นด้วยตัวอักษรหวัดแกมบรรจง ถือว่าเป็นการลงลายมือชื่อแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๒๖๒/๒๕๓๕

    จำเลยทั้งสอง กู้ยืมเงินโจทก์ไป สัญญาตอนต้นมีข้อความระบุว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้กู้ แต่จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อในช่องพยาน ส่วนจำเลยที่ ๑ ตอนต้นของสัญญาไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้กู้ แต่จำเลยที่ ๑ ลงชื่อในช่องผู้กู้เอกสารดังกล่าว เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามมาตรา ๖๕๓ วรรคแรกแล้ว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่ถ้าไม่มี ลายมือชื่อผู้กู้ ถือไม่ได้ว่า มีหลักฐานเป็นหนังสือ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๘๙/๒๕๓๘

    จำเลยเขียนเอกสารการกู้ยืมเงินด้วยลายมือตนเอง มีข้อความว่า จำเลยเป็นผู้กู้ยืมเงินโจทก์ แต่จำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นหลักฐาน การกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้
    สำหรับการคืนเงินอย่างไรให้ถูกต้อง ไม่ต้องถูกฟ้องทวงอีกนั้นดูที่มาตรา ๖๕๓ วรรคสอง ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

ต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งคือ
    ๑. ต้องเป็นการกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
    ๒. ต้องเป็นกรณีการใช้หนี้เป็นเงินตรา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๘๒/๒๕๒๔

    จำเลยนำสืบว่า ได้เอาที่ดินใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา ๖๕๓ วรรคสอง ก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๖๕/๒๕๓๑

    ชำระหนี้เงินกู้ด้วยการโอนเงินทางโทรเลข เข้าบัญชีของโจทก์ เป็นการชำระหนี้อย่างอื่น ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๖๕๓ วรรคสอง สามารถนำสืบการใช้เงินได้

สรุปว่า เมื่อได้ใช้เงินแล้ว ลูกหนี้ต้องมีอย่างหนึ่งอย่างใดคือ
    ๑. หลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อ ผู้ให้กู้ หรือ
    ๒. เอกสารหลักฐานแห่งการกู้ยืมเวนคืนมายังลูกหนี้แล้ว
    ๓. ได้มีการแทงเพิกถอนการกู้ลงในเอกสารกู้ยืมนั้นแล้ว

หมายเหตุ : รายการฎีกาชาวบ้าน เป็นรายการกฎหมายใกล้ตัว ออกอากาศ ทาง www.matichon.co.th โดยมี นายโอภาส เพ็งเจริญ คอลัมนิสต์สัพเพเหระคดี หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน และนางสาวเสาวลักษณ์ สวัสดิ์กว้าน เป็นผู้ดำเนินรายการ



ที่มา:kaijeaw.

ตำรวจ 98%!!! หนุ่มคนนี้ขับมอเตอร์ไซค์ไปเจอด่านตรวจ โดนจับข้อหาไม่มีใบขับขี่ แต่พอเห็นค่าปรับถึงกับแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง!!!


กลายเป็นภาพที่ใครได้เห็นก็ต้องชื่นชม เมื่อเฟสบุ๊ค @Nutty Mutd‎ ได้แชร์ภาพพร้อมข้อความว่า "ใครเคยโดน #ปรับ20บาท แถวบ้านเรียกตักเตือน^^ (1'ก.ย.59) ไม่เกินกฏหมายกำหนด...ok." ซึ่งในภาพเป็นใบเสร็จรับเงินค่าปรับ โทษฐานไม่มีใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามกฎหมาย แต่กลับระบุโทษปรับไว้แค่ 20 บาท งานนี้เลยทำให้คนที่ได้เห็นต่างก็รู้สึกดีกับการทำงานของตำรวจท่านนี้ ที่ตั้งใจจับกุมเพื่อตักเตือนจริงๆ ทำให้ประชาชนที่ได้เจอยิ้มออกกันทุกราย

loading...



ที่มา:http://www.johjae.com/gallery-details.php?item=309

รู้หรือยัง !! เตรียมปฎิรูปทำใบขับขี่ปีหน้า 2560 คนทำใบขับขี่ปีหน้าเหนื่อยกว่าเดิมแน่นอน !!


loading...


กรมขนส่งทางบก เตรียมปฎิรูปทำใบขับขี่ปีหน้า 2560 หลังพบสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยที่พุ่งสูงขึ้น เป็นอันดับ 2 ของโลก
ด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้กรมการขนส่งทางบกต้องปรับระบบการสอบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั้งระบบ นำเทคโนโลยีเข้ามาตรวจวัดมาตรฐานการสอบทุกขั้นตอนอย่างเข้มขึ้น
ปรับเวลาอบรมเพิ่มจาก 4 ชม. เป็น 5 ชม. เพิ่มข้อสอบจาก 50 ข้อ เป็น 60 ข้อ
นอกจากนี้ภายในปี 2561 จะให้โรงเรียนสอนขับรถเอกชนกว่า 80 แห่งทั่วประเทศ ทำหน้าที่สอบภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติแทนสำนักงานขนส่งฯ แต่จะเพิ่มเวลาสอบนานขึ้นกว่าเดิมถึง 15 ชั่วโมง
ปัจจุบันใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพมี 6 ล้านฉบับ และใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล 5 ล้านฉบับ จากใบขับขี่ทั้งหมด 30 ล้านฉบับ
ขณะที่จำนวนรถยังมีมากกว่า 38 ล้านคันและมีประชาชนอีกหลายล้านคนที่ยังไม่มีใบขับขี่ถูกต้องตามกฎหมาย

ที่มา:http://www.naarn.com/7855/

เริ่ม10ส.ค.นี้!! รัฐบังคับนายจ้างเพิ่มค่าจ้างแรงงานมีฝีมือ20สาขา300-700บาท ไม่จ่ายมีโทษจำคุก-ปรับ!!

แรงงานมีฝีมือ 20 สาขา มีเฮ! รัฐบังคับนายจ้างเพิ่มค่าจ้างสูงสุด 700 บาท เริ่ม 10 ส.ค.นี้ หากฝ่าฝืน ไม่ทำตาม นายจ้างไม่จ่าย มีโทษคุก 6 เดือนปรับ 1 แสน
ภาพประกอบจาก www.saskatchewan.ca
loading...
5 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่กระทรวงแรงงาน มีการแถลงข่าวเปิด “ประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 5)” ภายหลังกระทรวงแรงงานได้ประกาศแล้ว 35 สาขาอาชีพ และในวันที่ 10 ส.ค.นี้จะบังคับใช้อีก 20 สาขาอาชีพใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ ยานยนต์ อัญมณี และกลุ่มลอจิสติกส์ โดยในกลุ่มเหล่านี้จะมีอัตราค่าจ้างตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไปจนถึงประมาณวันละ 700 บาท
     
ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า “การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ” เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ส่งเสริมการพัฒนาทางอ้อมเช่นกัน เพราะการได้รับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจะเป็นเสมือนเส้นทางความก้าวหน้าในสาขาอาชีพ (Career Path) ของลูกจ้าง ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ (Unskilled Labour) จนกระทั่งถึงระดับช่างฝีมือ (Skilled Labour) ทำให้คนทำงานมีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ส่งผลให้การผลิตสินค้าและบริการมีคุณภาพยิ่งขึ้น ลูกจ้างและนายจ้างได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ส่วนผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้รับประโยชน์จากการใช้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และในที่สุดประโยชน์โดยรวมจะตกอยู่กับประเทศไทย โดยการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจะส่งผลดี 4 ประการ คือ
     
1) ทำให้คนทำงานที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติใน 20 สาขาอาชีพ ทั้งระดับ 1 และ 2 มีค่าจ้างเหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับทักษะฝีมือ ความรู้ความสามารถ และการจ้างงานในตลาดแรงงาน ทำให้คนทำงานมีขวัญกำลังใจในการทำงาน
2) เป็นแรงจูงใจให้คนทำงานทั่วไปได้มีการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้ได้รับค่าจ้างสูงขึ้น
3) ผู้ประกอบการสามารถคัดเลือกแรงงานที่มีฝีมือเข้าทำงาน ทำให้สินค้าและบริการมีคุณภาพได้มาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนผลิตเพราะไม่เกิดการผิดพลาดระหว่างการผลิต และสามารถรักษาบุคลากรที่มีฝีมือไว้ได้ด้วย
4) ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือในสาขาอาชีพที่ขาดแคลน และรองรับการพัฒนาประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
     
มีรายงานว่า คณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) กำลังมีการพิจารณาอีก 12 สาขา เช่น ในกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ พลาสติก เป็นต้น เชื่อว่าการกำหนดดังกล่าวนายจ้างจะได้รับประโยชน์จากแรงงานที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ซึ่งทำให้สินค้าและบริการมีคุณภาพได้มาตรฐาน รวมถึงสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนการผลิตแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และสอดรับกับนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลด้วย ขณะที่ภาคแรงงานก็จะได้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม สอดคล้องกับทักษะฝีมือ ความรู้ ความสามารถ
     
ทั้งนี้ หากนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามประกาศดังกล่าวจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับรายละเอียดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ แบ่งดังนี้
     
1. กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 4 สาขา ประกอบด้วย
พนักงานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่าง
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 360 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 430 บาท
พนักงานประกอบมอเตอร์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 370 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 445 บาท
ช่างเทคนิคบำรุงรักษาเครื่องจักรกล
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 410 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 490 บาท
ช่างเทคนิคระบบรักษาความปลอดภัย
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
     
2. กลุ่มชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ จำนวน 4 สาขา ประกอบด้วย
สาขาช่างกลึง
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
ช่างเชื่อมมิก-แม็ก
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
ช่างเทคนิคบำรุงรักษาเครื่องจักรกล
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
ช่างเทคนิคเครื่องกลึงอัตโนมัติ
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
     
3. ยานยนต์ ประกอบด้วย
ช่างเทคนิคพ่นสีตัวถัง
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
ช่างเทคนิคพ่นซีลเลอร์ตัวถัง
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
พนักงานประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์(ขั้นสุดท้าย)
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 480 บาท
     
4.อัญมณี ประกอบด้วย
ช่างเจียรไนพลอย
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 420 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 550 บาท
ช่างหล่อเครื่องประดับ
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 420 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 550 บาท
ช่างตกแต่งเครื่องประดับ
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 420 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 550 บาท
ช่างอัญมณีบนเครื่องประดับ
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 420 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 550 บาท
     
5. ลอจิสติกส์ ประกอบด้วย
นักบริหารการขนส่งสินค้า
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 415 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 500 บาท
ผู้ควบคุมรถยกสินค้าขนาดไม่เกิน 10 ตัน
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 360 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 430 บาท
ผู้ควบคุมสินค้าคงคลัง
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 350 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 420 บาท
ผู้ปฎิบัติการคลังสินค้า
– ระดับ 1 ค่าจ้าง 340 บาท
– ระดับ 2 ค่าจ้าง 410 บาท
     
“ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0 แรงงานจึงต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานฝีมือจะมากำกับเรื่องสมรรถนะ ที่จำเป็นส่วนที่ขาดก็ต้องมีการเติมเต็ม ซึ่งคนทำงานจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา” ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าว

ทีมา:http://www.thaijobsgov.com/jobs=70681

เปิดรายละเอียดสิทธิ ประกันสุขภาพ ภาครัฐ 3 กองทุน แตกต่างอย่างไร ….. เพื่อสิทธิประโยชน์ต้องอ่านดู

เปิดรายละเอียดสิทธิ ประกันสุขภาพ ภาครัฐ 3 กองทุน แตกต่างอย่างไร ….. เพื่อสิทธิประโยชน์ต้องอ่านดู

loading...
แม้จะไม่ตรงตามข้อเรียกร้องของผู้ประกันตน ทั้งหมด แต่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เล็งเห็นถึงความจำเป็นและขยับในเรื่องของค่าบริการทันตกรรม อุดฟัน ถอนฟัน และขูดหินปูน จากเดิมปี 600 บาท เพิ่มเป็นปีละ 900 บาท และนำร่องไม่สำรองจ่ายใน 30 หน่วยบริการ ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคมนี้ ก่อนจะขยายทั่วประเทศภายในปี 2559
งาน นี้แม้จะไม่ได้ตรงตามข้อเรียกร้องทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ สปส.ขยับ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในระบบสุขภาพ 3 กองทุนภาครัฐ เมื่อเทียบกับสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ประเด็น ความเท่าเทียมในระบบสุขภาพภาครัฐของ 3 กองทุน ทั้งบัตรทอง ประกันสังคม และสิทธิข้าราชการนั้น ไม่ได้อยู่แค่กรณีทันตกรรมเท่านั้น แต่ยังมีกรณีอื่นๆ ที่ถูกจับตามองมาโดยตลอด นั่นเพราะ สิทธิประกันสังคม มีการจ่ายเงินสมทบเข้าระบบร่วมกับนายจ้างและภาครัฐ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ สิทธิกรณีว่างงาน เลิกจ้าง เกษียณอายุ รวมทั้งรักษาพยาบาล แต่ในประเด็นการรักษาพยาบาล ถูกพูดเสมอว่า ควรเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ไม่ด้อยไปกว่าสิทธิสุขภาพอื่นๆ
เรื่อง นี้ เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) นำโดย มนัส โกศล ประธาน คปค. และ บรรจง บุญรัตน์ กรรมการ คปค.เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการแพทย์ สปส. ขอให้มีการพิจารณาเรื่องส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้แก่ผู้ประกันตน ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 63 (2) พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับ 4 พ.ศ.2558 แต่ไม่มีการออกระเบียบมารองรับ มนัสบอกว่า การตรวจสุขภาพเพื่อป้องกันโรค ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญ และเป็นไปตามมาตรา 63 (2) ของ พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ดังนั้น เมื่อมีกฎหมายก็ควรให้สิทธิผู้ประกันตนได้ตรวจสุขภาพด้วย
ขณะ ที่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพก็ออกมาเรียกร้องตลอดในแง่ของงบบัตรทองที่ เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับสิทธิข้าราชการก็ยังถือว่าน้อย เนื่องจากข้าราชการมีจำนวนน้อยกว่า ขณะที่งบกองทุนรักษาพยาบาลของข้าราชการตกปีละประมาณ 6 หมื่นล้านบาท จนช่วงหนึ่งมีการจำกัดงบประมาณข้าราชการ

จาก ข้อเรียกร้องของสิทธิประกันสังคม และสิทธิบัตรทอง มาดูว่า แท้จริงแล้ว 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐมีข้อแตกต่างอย่างไร โดยเฉพาะสิทธิในการตรวจสุขภาพ เพื่อปัองกันโรค สามารถใช้ได้ทุกกองทุนหรือไม่
มูลนิธิภิวัฒน์สาธารณสุขไทย (ภวส.) ได้ทำการศึกษาความแตกต่างของ 3 ระบบประกันสุขภาพไทย
1.สิทธิ ข้าราชการ มีคนอยู่ในระบบ 4.97 ล้านคน ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเฉลี่ยคนละ 12,397.66 คน งบประมาณเฉลี่ยปีละ 60,000 ล้านบาท งบจากภาษี โดยรัฐบาลอุดหนุน 100% หากจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลนั้น จะจ่ายกรณีเกินสิทธิกำหนด โดยหน่วยบริการ (โรงพยาบาล) ที่เข้ารับการบริการได้นั้น จะเป็นโรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่เข้าร่วม ทั้งนี้ มีกรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานดูแล โดยสิทธิข้าราชการจะสิ้นสุดต่อเมื่อไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว
2.สิทธิ ประกันสังคม ครอบคลุมผู้ประกันตนประมาณ 10.33 ล้านคน งบประมาณเฉลี่ยคนละ 2,857.37 บาท งบภาพรวมทั้งหมดปีละ 29,508.48 ล้านบาท ถือเป็นสวัสดิการทางสังคม รัฐบาลอุดหนุน 33% ส่วนที่เหลือเป็นเงินสมทบผู้ประกันตน และนายจ้าง โดยผู้ประกันตนต้องสมทบเข้ากองทุนทุกเดือน 5 เปอร์เซ็นต์จากค่าจ้างรายเดือน และต้องจ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 3 เดือน ใน 15 เดือนจึงจะเกิดสิทธิได้ และจะสิ้นสุดสิทธิประกันสังคมก็ต่อเมื่อขาดส่งเงินสมทบมากกว่า 3 เดือน โดยเข้ารับบริการได้ในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่เป็นคู่สัญญา มี สปส.เป็นหน่วยงานดูแล


3.สิทธิบัตรทอง ครอบคลุมประชาชนทั่วไป 48 ล้านคน งบรายหัวเฉลี่ยในการรักษาพยาบาลโดยไม่รวมค่าอื่นๆ ประมาณ 2,217.48 บาทต่อคน
งบ ภาพรวมที่กระจายไปยังโรงพยาบาลในสิทธิบัตรทองเฉลี่ย 107,814.12 ล้านบาท รัฐอุดหนุนงบ 100% เดิมกองทุนบัตรทองนั้น จะเป็นการร่วมจ่าย 30 บาท ตั้งแต่แรกเริ่มจัดตั้งกองทุน แต่ต่อมามีการปรับเปลี่ยนเป็นบัตรทองรักษาฟรี แต่กระนั้นก็ยังมีการจ่าย 30 บาท ในบางพื้นที่ ส่วนใหญ่จะเป็นการบริจาค หรือการจ่ายด้วยความสมัครใจ โดยสิทธิบัตรทองจะได้สิทธิตั้งแต่แรกเกิด แต่สิ้นสุดสิทธิก็ต่อเมื่อได้สิทธิสุขภาพอื่นๆ ทดแทน ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม หรือข้าราชการก็ตาม โดยเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่เป็นคู่สัญญา มีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแล
อย่าง ไรก็ตาม หากพูดถึงในแง่สิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ ที่แตกต่างกันมีอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง 1.กรณีผู้ป่วยต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น สำหรับค่าห้องพิเศษ สิทธิข้าราชการจ่ายให้ไม่เกิน 1,000 บาทต่อวัน สิทธิประกันสังคมไม่เกิน 700 บาทต่อวัน และสิทธิบัตรทอง ไม่คุ้มครอง
2.การ บริการรักษาตัวแบบพักฟื้น และบริการหลังผู้ป่วยกลับบ้าน สิทธิข้าราชการไม่คุ้มครอง สิทธิประกันสังคมไม่คุ้มครอง แต่สิทธิบัตรทอง คุ้มครอง
3.กรณีการ ฟื้นฟูสมรรถภาพทางด้านการแพทย์ หลังสิ้นสุดการรักษา (นอกโรงพยาบาล) สิทธิข้าราชการและประกันสังคมไม่คุ้มครอง จะคุ้มครองเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่สิทธิบัตรทองคุ้มครองทั้งหมด
4.การ ช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการและผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหาย จากการรับบริการสาธารณสุข สิทธิข้าราชการไม่คุ้มครอง สิทธิประกันสังคมคุ้มครองเฉพาะผู้รับบริการ และบัตรทองคุ้มครองทั้งหมด
5.การ ส่งต่อผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพสูงกว่าทางอากาศยาน สิทธิข้าราชการและประกันสังคมไม่คุ้มครอง มีเพียงสิทธิบัตรทองที่คุ้มครอง
6.ค่าพาหนะรับส่งต่อระหว่างหน่วยบริการทางเรือ สิทธิข้าราชการไม่คุ้มครอง แต่สิทธิประกันสังคมและบัตรทองคุ้มครอง
7.การ ปลูกถ่ายไขกระดูกสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง กรณีป่วยเป็นมะเร็งก่อน สิทธิข้าราชการคุ้มครอง สิทธิประกันสังคมไม่คุ้มครอง และสิทธิบัตรทองคุ้มครอง
8.กรณี ทันตกรรม รากฟันเทียม สิทธิข้าราชการไม่คุ้มครอง สิทธิประกันสังคมคุ้มครอง สิทธิบัตรทองไม่คุ้มครอง ส่วนกรณีถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนนั้น สิทธิข้าราชการเข้ารับบริการได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่มีวงเงิน สิทธิประกันสังคม จ่ายให้ปีละ 900 บาท เริ่มวันที่ 12 สิงหาคม 2559 ส่วนสิทธิบัตรทองเข้ารับบริการได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่มีวงเงิน
นี่ คือตัวอย่างของสิทธิที่แตกต่างกันในแต่ละกองทุน อย่างไรก็ตาม บริบทของแต่ละกองทุนก็มีความแตกต่าง แต่เชื่อว่าทุกกองทุนย่อมต้องการให้สิทธิสุขภาพที่ดีที่สุดเพื่อประชาชน
ดังนั้น อะไรที่ยังแตกต่าง เหลื่อมล้ำมาก ก็ต้องให้โอกาสในการพัฒนา!

ที่มา:http://www.naarn.com/7241/

3 ข้อต้องรู้!!! ก่อนจดทะเบียนสมรส


loading...
การจัดการสินทรัพย์เมื่อสมรสจดทะเบียน จะมีข้อกังวลใจในการจัดการสินทรัพย์ร่วมกัน และต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “สินส่วนตัว” และ “สินสมรส” เพื่อให้สามารถจัดการสินทรัพย์ของชีวิตคู่ได้อย่างลงตัว ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับความหมายของ “สินส่วนตัว” กับ “สินสมรส” เพื่อใช้แบ่งสินทรัพย์กันก่อน มี 2 ประเภท ดังนี้

 1. สินส่วนตัว คือ สินทรัพย์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส / สินทรัพย์ที่เป็นเครื่องใช้ส่วนตัว หรือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ / สินทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรสกันโดยการรับมรดก หรือการให้โดยเสน่หา / สินทรัพย์ที่เป็นของหมั้น / การนำสินทรัพย์ที่เป็นสินส่วนตัวไปแปลงเป็นรูปแบบอื่นๆ

 2. สินสมรส คือ สินทรัพย์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส / สินทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรสกันโดยทางพินัยกรรม หรือการให้ ซึ่งระบุว่าให้เป็นสินสมรส / สินทรัพย์ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล

เมื่อเข้าใจถึงความหมายว่า กรณีใดบ้างจะถือเป็นสินส่วนตัว หรือ สินสมรสกันแล้ว จะมีแนวทางจัดการสินสมรส สินส่วนตัวอย่างไร เมื่อจะจดทะเบียนสมรส

 1. ก่อนสมรสเขียนให้ชัดว่ามีสินทรัพย์ หนี้สินอะไรบ้าง

 แนวทางนี้สำหรับคู่สมรสพิจารณาก่อนการจดทะเบียนสมรส ว่าจะทำสัญญาก่อนสมรสหรือไม่ หากต้องการให้ลงรายละเอียดชัดเจน ก็ทำสัญญาก่อนสมรสเพื่อระบุอะไรบ้างเป็นสินส่วนตัว เนื่องจากหากไม่ระบุไว้ในสัญญา การจัดการทรัพย์สินจะถือเป็นสิทธิในการจัดการสินทรัพย์ระหว่างสมรส

 2. จะให้มรดก ระบุให้ชัดว่าเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรส

 แนวทางนี้ สำหรับผู้ยกให้สินทรัพย์แก่คู่สมรส ไม่ว่าจะยกสินทรัพย์ให้ หรือให้เป็นมรดก จะเป็นสินส่วนตัว หากไม่ระบุเป็นอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น พ่อต้องการโอนสินทรัพย์ให้ลูกชายที่จดทะเบียนสมรสแล้วเพียงคนเดียว อาจจะกังวลว่าจะโอนไปแล้วกลายเป็นสินสมรส เท่ากับ โอนไปแบ่งให้ลูกสะใภ้ด้วย ก็เป็นความเข้าใจที่ผิดไป แต่เพื่อให้ชัดเจนก็ระบุไปให้ชัดๆ ว่าต้องการให้เป็นสินส่วนตัว หรือสินสมรส

 3. หากต้องสิ้นสุดการสมรส ยังจัดการสินทรัพย์ได้ด้วยสัญญาหย่า

แนวทางนี้ สำหรับคู่สมรสที่จำเป็นต้องสิ้นสุดการสมรสกัน และประสงค์จะแบ่งสินทรัพย์กัน ยกตัวอย่างเช่น ใครจะดูแลบุตร ใครจะได้สินทรัพย์หรือรับผิดชอบหนี้สินกันอย่างไร


นอกจากเรื่องสินสมรส หรือสินส่วนตัว ในระหว่างที่สมรสจดทะเบียนแล้ว ยังมีสิทธิที่อาจจะได้เพิ่มเติมจากการจดทะเบียนสมรส เช่น สิทธิในการยื่นภาษีแบบสามี-ภริยา สิทธิจากสวัสดิการที่นายจ้างให้แก่คู่สมรส บุตร ดังนั้น การจัดการสินทรัพย์เมื่อจดทะเบียนสมรส ก็ควรบริหารจัดการโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ และมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้รับให้มีความพอดีอีกด้วย -


ที่มา:http://www.news-lifestyle.com/contents/152832/

ภาพจาก:happywedding

Powered by Blogger.