ภัยใกล้ตัว!! ชอบนอนดึก เครียด หักโหมกับงาน ระวังจะป่วยโรคร้ายโรคนี้..

    *ปัญหาสุขภาพมักเกิดขึ้นกับร่างกายได้ง่ายๆในช่วงที่ร่างกายมีความอ่อนแอ หากช่วง
ไหนที่เริ่มหักโหมกับงาน มีความเครียดหนักๆ หรือนอนดึกติดกันบ่อยๆ จะสังเกตได้ง่ายๆว่าร่างกาย
มักจะมีอาการป่วย อาทิ เป็นไข้หวัด ปวดศีรษะ เจ็บคอ หรือไมเกรนขึ้น เป็นอาการตอบสนองพื้น
ฐานที่แทบทุกคนจะเป็นกัน แต่รู้หรือไม่ว่า การนอนดึกบ่อยๆ เครียดบ่อยๆ หรือโหมงานหนัก มีความ
เสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายซ่อนอยู่ โรคร้ายที่ว่านั้นก็คือ **"งูสวัด"*

*โรคงูสวัดติดต่ออย่างไร?*

โรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยการสัมผัส ระยะที่ติดต่อเป็นระยะช่วงที่มีผื่น ตุ่มน้ำใส และตกสะเก็ด
ในรายที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใส ถ้าไปสัมผัสกับคนไข้ที่เป็นงูสวัดก็จะเป็นโรคอีสุกอีใสก่อน

*งูสวัดมีอาการอย่างไรบ้าง?*

ผู้ป่วยมักมีอาการเหมือนไข้หวัด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือเจ็บแสบร้อนบริเวณผิวหนัง
หลังจากนั้นจะเริ่มมีผื่นลักษณะแดง คัน เป็นทางยาวตามแนวประสาทของร่างกาย แต่ไม่กว้างมากนัก
โดยมักเริ่มในแนวใกล้ๆ กลางลำตัวตามแนวปมประสาท เช่น ตามประสาทของลำตัว แขน ขา ตา
และหู มักเกิดเพียงด้านเดียว โดยส่วนใหญ่จะพบที่ลำตัวบ่อยที่สุด

หลังเกิดผื่นได้ 1 วัน ผื่นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส เมื่อตกสะเก็ดบางครั้งจะมีสะเก็ดสีดำๆ ประมาณ
1-2 สัปดาห์ จะหายไปเองได้ และสามารถทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้

ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเอดส์ มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือกลุ่มคนไข้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด กลุ่มนี้ผื่นจะรุนแรง
มาก สามารถเป็นได้รอบตัว แต่ถ้าภูมิคุ้มกันปกติผื่นจะเป็นแค่ซีกเดียว

*อาการปวดหลังเป็นงูสวัด*

ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือรักษาไม่ทันเวลา หลังอาการที่ผิวหนังหายไปแล้วจะยังคงมีอาการเจ็บ
ปวดอยู่ โดยเฉพาะคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป การฟื้นตัวของเส้นประสาทนั้นจะใช้เวลานาน ส่วนมากจึง
ยังมีอาการเจ็บต่อเนื่องอีกหลายปี

*การรักษาโรคงูสวัด*

  * สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรืองูสวัดขึ้นที่บริเวณหน้า หรือมีอาการปวดรุนแรง แพทย์
    จะให้ยาต้านไวรัสชนิดทาน ภายใน 2-3 วัน หลังเกิดอาการ เพื่อลดความรุนแรง และช่วยให้
    โรคหายเร็วขึ้น รวมทั้งช่วยลดอการปวดแสบ ปวดร้อนในภายหลังได้
  * สำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นชนิดแพร่กระจายทั้งตัว แพทย์จะให้ยา
    ต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และจะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
  * สำหรับผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นที่ตา ควรรักษากับจักษุแพทย์ ซึ่งแพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดทานและ
    หยอดตา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา

แต่ยาที่ใช้จะไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ แต่จะทำให้การอักเสบสงบลง และเชื้อไวรัสจะกลับไปฝังตัว
อยู่ที่ปมประสาทเหมือนเดิม ถ้าร่างกายมีภาวะอ่อนแอก็กลับมาเป็นอีกได้

ซึ่งระยะหวังผลการรักษาให้หายมีอยู่แค่ 3 วันเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตรวจเจอแต่เนิ่นๆ ถ้า
บริเวณที่เจ็บนั้นมีตุ่มพองขึ้นในบริเวณเดียวกัน ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ยิ่งตรวจพบเจอเร็ว
ก็สามารถใช้ยาต้านทานไวรัสไว้ได้ อาการเจ็บหลังเกิดโรคนั้นก็จะเกิดขึ้นได้ยาก

*การดูแลรักษาด้วยตัวเอง*

 1.

    ในระยะเป็นตุ่มน้ำใส ให้รักษาแผลให้สะอาด โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่นๆ หรือกรดบอริค
    3 % ปิดประคบไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วชุปเปลี่ยนใหม่ ทำวันละ 3-4 ครั้ง

 2. ในระยะตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลต้องระมัดระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่จะเข้าสู่แผลได้ ควร
    ล้างแผลด้วยน้ำเกลือสะอาด แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ
 3. ถ้าปวดแผลมาก สามารถทานยาแก้ปวดได้
 4. ไม่ควรใช้เล็บแกะเกาตุ่มงูสวัด เพราะอาจทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่ม
    หนอง แผลหายช้า และ กลายเป็นแผลเป็นได้
 5. การรับประทานอาหาร สามารถรับประทานได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อห้าม
 6. ไม่ควรเป่าหรือพ่นยาลงบนแผล เพราะจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลหายช้าและ
    กลายเป็นแผลเป็นได้

*ภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัด*

 1. ติดเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากการแกะเกา หรือ ดูแลผื่นไม่ถูกต้อง ทำให้แผลหายช้าและเกิดเป็น
    แผลเป็นได้
 2. ในรายที่งูสวัดขึ้นตา อาจทำให้เกิดกระจกตาอักเสบ ต้อหิน ประสาทตาอักเสบ อาจมีผลต่อการ
    มองเห็นได้
 3. ในรายที่เป็นงูสวัดบริเวณหู อาจทำให้เกิดอัมพาตในหน้าครึ่งซีก มีอาการบ้านหมุน อาเจียน
    ตากระตุกได้
 4. ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โรคอาจแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดหรือเข้าสู่สมอง และอวัยวะภายใน
    ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
 5. ผู้หญิงที่เป็นงูสวัดขณะตั้งครรภ์ เชื้ออาจแพร่ไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ทารกเกิดความผิดปกติ
    เช่น มีแผลเป็นตามตัว แขนขาลีบ ศีรษะเล็ก และมีปัญหาทางสมองได้

*วิธีป้องกันงูสวัด*

พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่นในผู้ป่วย
ที่เป็นงูสวัด โดยเฉพาะคนไข้ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใส ในบางรายอาจจะใช้การฉีดวัคซีนได้ โรคเริม กับ

*ความแตกต่างระหว่าง เริม กับ งูสวัด*

มีอาการและลักษณะคล้ายๆ กัน วิธีการสังเกตุง่ายๆ คือ งูสวัดมีลักษณะผื่นที่เป็นปื้นกระจายตัวตาม
เส้นประสาท ถ้าเป็นเริมตุ่มน้ำใสจะขึ้นทีละน้อยมากันเป็นกลุ่มๆ งูสวัดจะปวดแสบปวดร้อนมากกว่า
ในเริมอาจแค่แสบๆ คันๆ งูสวัดส่วนใหญ่เป็นแค่ครั้งเดียว แต่เริมเป็นซ้ำได้บ่อยๆ

*ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคงูสวัด*

  * ถ้าหากเห็นมีตุ่มใสๆ เห่อขึ้นตามผิวหนังส่วนไดก็ตามให้สันนิษฐานว่าเป็นโรคงูสวัดเอาไว้ก่อน
    และรีบไปรักษาโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยไว้จะยิ่งรักษายาก
  * ถ้าไปพบแพทย์ในช่วงมีอาการปวดหัว หรือปวดตามปมประสาท ส่วนใหญ่แพทย์จะวินัจฉัยผิดว่า
    เป็นการปวดหัว หรือปวดเส้นประสาททั่วไป
  * อาการแสบร้อนมักเป็นในช่วงกลางคืน วันรุ่งขึ้นจะมีตุ่มพองเหมือนถูกยุงกัดบริเวณที่ปวด ให้
    สงสัยว่าเป็นงูสวัด
  * คนที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสจะไม่มีทางเป็นงูสวัส

          *เป็นโรคที่น่ากลัวและใกล้ตัวมากเลยทีเดียว คนไทยมีเปอร์เซ็นต์เป็นโรคงูสวัดสูงและ
น้อยคนที่จะรักษาให้หายได้ แถมโรคนี้อันตรายของมันยังถึงชีวิตอีกด้วย ดังนั้นควรดูแลสุขภาพกายและ
จิตให้แข็งแรงสดใสอยู่เสมอ นอกจากจะลดความเสี่ยงโรคงูสวัดได้แล้ว ยังลดความเสี่ยงโรคอื่นๆได้
อีกด้วยค่ะ*

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.medicthai.com
Powered by Blogger.