หนุ่ม สุดช้ำใจ!! ฝากเงินเก็บ 1 ล้าน กับแบงก์สีเขียว สุดท้ายเงินหาย เหลือติดบัญชี 58 บาท โร่ร้องสตช.ช่วย!!

 สืบเนื่องจากกรณี นายพันธ์สุธี มีลือกิจ เจ้าของร้านขายเครื่องประดับรถยนต์ใน Facebook เข้าแจ้งความและร้องเรียนต่อ ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) ให้ดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียดหลังถูกมิจฉาชีพหลอกเอาข้อมูลออนไลน์ทำให้สูญเงินเกือบล้านบาท โดยนายพันธ์สุธี เรียกร้องให้ธนาคารกสิกรไทยซึ่งเป็นธนาคารเจ้าของบัตร และ เครือข่ายโทรศัพท์ ทรูมูฟ รับผิดชอบกรณีที่เกิดขึ้นนั้น

ล่าสุดวันนี้ (19 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 11.00 น. นายพันธุ์สุธี มีลือกิจ เจ้าของร้านประดับยนต์ อายุ 28 ปี และครอบครัว ได้ไปนั่งประท้วงที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเวลาต่อมา พ.ต.อ.ธวัชศักดิ์ โปตระนันทน์ รอง ผบก.อก.สทส. เป็นผู้ออกมารับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าว กรณีที่ตนเองถูกคนร้ายโอนเงินทั้งหมดที่ฝากไว้กับบัญชีธนาคารกสิกรไทยออกไม่เหลือสักบาท โดยคนร้ายใช้วิธีการไปขอเปลี่ยนซิมที่ทรูช็อปสาขา เมกา บางนา จากนั้นโทรไปเปลี่ยนรหัส แอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking กระทั่งโอนเงินในบัญชีไป จำนวน 986,700 บาท เหลือติดบัญชีเพียง 58 บาท ทั้งนี้ตนจึงมาประท้วงขอความเป็นธรรมและให้ธนาคารพร้อมด้วยทรู รับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น    ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เตือนระวัง!! มิจฉาชีพยุค 4G ใช้แอพออนไลน์แบงก์ดัง ดูดเงินบัญชีเหยื่อล่องหน กว่า 1ล้านบาท!!

 นายพันธ์สุธี  กล่าวว่า ตนอยากเรียกร้องให้ธนาคารกสิกรไทย และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น รับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าวเพราะเนื่องจากมีคนร้ายโทรไปขอเปลี่ยนรหัสผ่านของ K-Mobile Banking เสร็จแล้วโอนเงินจากบัญชีธนาคารกสิกรไทยไปจนหมดบัญชี พร้อมกับไปขอซิมโทรศัพท์ใหม่ที่ศูนย์ทรู และแจ้งพนักงานว่าโทรศัพท์หายต้องการขอซิมใหม่ โดยใช้สำเนาบัตรประชาชนปลอมที่ทำขึ้นมา เป็นสำเนาที่ใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนของตน เปลี่ยนเพียงภาพในบัตรประชาชนเป็นภาพของคนร้าย โดยอ้างกับพนักงานว่ากระเป๋าสตางค์หายจึงใช้เพียงสำเนาบัตรมาขอซิมใหม่ จากนั้นเมื่อคนร้ายได้ซิมใหม่ได้โทรไปขอรหัสผ่าน K-Contact Center จนเมื่อได้รหัสผ่านใหม่มามาคนร้ายก็โอนเงินออกจากบัญชีไปจนหมดรวมทั้งสิ้น จำนวน 986,700 บาท ภายใต้ชื่อบัญชี นายสุริไกร อนุมาตย์ จำนวน 3 ครั้ง

 ทั้งนี้นายพันธ์สุธี กล่าวอีกว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้นทางธนาคารได้ติดต่อกลับมาหาตนว่าสามารถชดใช้ได้เพียงครึ่งเดียว จากความเสียหายทั้งหมด ส่วนที่เหลือให้ไปดำเนินการตามจากทรูและคนร้ายเอง และที่ผ่านมาทางธนาคารและทรูไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด ทำให้ตนต้องเป็นคนสืบหาข้อมูลของคนร้ายเองทั้งหมดจนสามารถได้ข้อมูลภาพวงจรปิดใบหน้าของคนร้าย และที่ตนออกมาเรียกร้องดังกล่าว ไม่ได้ต้องการมาเพื่อก่อความวุ่นวาย แต่มาเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นใจและรับคดีไว้พิจารณาช่วยเหลือ เนื่องจากตอนนี้ตนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรและดำเนินการอย่างไร

ขอบคุณภาพจาก ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม
http://www.tnews.co.th/html/contents/200748/
Powered by Blogger.