วิธีขับรถลุยน้ำท่วม ยังไงให้รถไม่พัง ท่วมแค่ไหนก็เอาอยู่

วิธีขับรถลุยน้ำท่วม ยังไงให้รถไม่พัง ท่วมแค่ไหนก็เอาอยู่

สถานการณ์น้ำท่วมขังเนื่องจากฝนตกในเขตกรุงเทพฯ ยากที่จะหลีกเลี่ยงหากปริมาณน้ำฝนเกิน 60 มิลลิเมตร ลองอ่านวิธีการขับขี่ฝ่าน้ำท่วมขังผิวการจราจร เพื่อเอาตัวรอดไปให้ถึงที่หมาย...

1.ก่อนถึงจุดน้ำท่วมต้องลดความเร็วลง เพราะหากขับรถมีความเร็วผ่านบริเวณน้ำขัง รถจะเบาและอาจเสียการทรงตัวได้อันตราย จะคุมรถไม่อยู่ โดยอย่าให้ความเร็วมากกว่า60-80 กม.ต่อ ชม.

2.แล้วจะรู้ได้ไงว่าระดับน้ำขนาดไหนที่จะขับผ่านได้ ?ถ้าเป็นรถเก๋งก็ดูประมาณไม่เกิน 30 ซ.ม.(ฟุตนึงพอดี) ก็ประมาณครึ่งล้อ หากยังขืนลุยต่อโอกาสเครื่องดับก็มี

3.ถ้าจำเป็นต้องลุยกันจริงๆ (ผมก็เลือกข้อนี้นะ 555) สำหรับรถเก๋ง อันดับแรกให้ปิดระบบเครื่องปรับอากาศในรถ พร้อมเปิดกระจกระบายอากาศ ?ที่ให้ปิดระบบแอร์เพราะใบพัดอาจพัดน้ำเข้าเครื่องได้ หรือเข้าระบบไฟฟ้าได้

4.ขณะขับลุยน้ำให้ใช้เกียร์ต่ำ คือเกียร์ 1-2 ?และรักษาอัตราเร่งไว้ให้ได้ประมาณ 1500-2000 รอบ ต่ำกว่านี้เครื่องอาจดับ สูงกว่านี้อาจจะดูดอากาศและน้ำเข้าเครื่องได้อีก ? ถ้าดับกลางน้ำท่วมนี่เซ็งแย่เลยนะ

5.ขณะขับลุยน้ำให้รักษาระยะห่างคันหน้าให้มาก เพราะระบบเบรกของท่านแช่น้ำอยู่ประสิทธิภาพต่ำลงเยอะ และถ้าพ้นน้ำแล้วก็ให้ขับช้าๆ และเบรกเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผ้าเบรกแห้ง ถ้าดิสเบรคจะแห้งเร็ว แต่ถ้าดรัมเบรคจะแห้งช้ากว่า ระวังข้อนี้ให้ดีนะ

6.และสุดท้าย เกิดเผอิญซวยเครื่องดับกลางน้ำ(จนได้) ให้หาคนช่วยย้ายรถไปตำแหน่งที่น้ำไม่ท่วม และอย่าทะลึ่งสตาทรถ เพราะยิ่งสตาท น้ำยิ่งเข้าระบบเครื่องยนต์จะพังหนักไปกันใหญ่

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ความจริงแล้วยังมีรายละเอียดปลีกย่อยในส่วนต่างๆมากมายที่หากจะพูดให้หมดคงไม่จบแน่ แต่ที่สำคัญคือควรรีบปฏิบัติตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเสียหายต่อชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งคุณอาจจะไม่มีทางทราบจนวันที่มันตายกลางทาง

จาก: http://www.kwamru.com/40
Powered by Blogger.