เจ็บจี๊ดเลย!! นักวิชาการดัง"ม.ทักษิณ"เปรียบ"สนธิ-คนแดนไกล" ความเหมือนในความต่างระหว่าง "เสือ" กับ "หมา"

"ทักหมากับเสือมันต่างกันตรงนี้เอง คือหมามันมักจะร้องโหยหวนและวิ่งหนีเมื่อมันเจ็บปวด แต่เสือมันเงียบสงบและมีสติ ไม่หลบหนีแต่กล้าเผชิญกับความจริง อย่างมากก็นอนเลียแผลยอมรับในความพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี"



วันนี้ ( 9 ก.ย.)  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจรูญ หยูทอง นักวิชาการชื่อดังมหาวิทยาลัยทักษิณ และนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน ได้ข้อความในโพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัว "จรูญ หยูทอง" โดยเปรียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของคน 2 คน นั่นคือ "นายสนธิ ลิ้มทองกุล" ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์สื่อเครือผู้จัดการและแกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตร กับ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีที่ทั้งคู่ถูกฟ้องและต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยนำไปเปรียบความเหมือนและความต่างระหว่างสัตว์ 2 ชนิดคือ "เสือ" กับ"หมา"  ซึ่งข้อความที่โพสต์ระบุว่า


" ความเหมือนในความต่างระหว่าง "เสือ"กับ "หมา"

ตรรกะที่หลายคนมักสรุปว่า ปรากฏการณ์ทักษิณกับปรากฏการณ์สนธิ เป็นปรากฏการณ์ทุนนิยมลวงโลกไม่ต่างกัน ดูเหมือนเป็นตรรกะที่สรุปว่า "หมามีสี่เท้า เสือมีสี่เท้า เสือคือหมา"หรือ "เสือและหมามีสี่ขา โต๊ะก็มีสี่ขา ดังนั้น เสือและหมาคือโต๊ะหรือโต๊ะคือเสือและหมา"

เมื่อผมเขียนบทความ "ปรากฏการณ์กับธาตุแท้"ก็มีคนย้อนแย้งเสียดเย้ยว่าทำไมคนที่สมาทานหลักการมองโลกมองสังคมอย่างผมกลับกระโจนเข้าร่วมทั้งปรากฏการณ์สนธิและปรากฏการณ์กปปส.

เหล่านี้คือสภาพเป็นจริงของวิธีคิดของเพื่อนร่วมชาติของผมในสังคมที่กำลังเคลื่อนเปลี่ยนจากสังคมแห่งความรู้สึกสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ จากสังคมอำนาจนิยมไปสู่สังคมเหตุผลนิยม จากสังคมที่ใช้นิติศาสตร์ในการพิพากษาไปสูสังคมที่ใช้นิติธรรมในการตัดสินคน

กรณีความเหมือนและความต่างระหว่างสนธิกับทักษิณคู่กัดคู่ขัดแย้งที่ดึงเอาคนทั้งสังคมเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้ง ผมมองเห็นความแตกต่างบางประการดังนี้

ประการแรก คุณสนธิมีความกล้าหาญทางจริยธรรมมากกว่าคุณทักษิณและใครอีกหลายคนในประเทศนี้ในขณะนั้นที่ออกมาประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับทักษิณผู้กุมอำนาจบ้านเมือง เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ขณะที่คนเก่ง คนดีที่ออกมาประนามสนธิในวันนี้ผมไม่เห็นใครกล้าแม้แต่จะกระแอมเบาๆให้ทักษิณได้ยินว่าไม่เอาด้วยกับทักษิณ และแน่นอนสนธิกระทำสิ่งนี้ในเป้าหมายหนึ่งคือการเปิดโปงคนชั่วตามหลักการของสื่อมวลชนที่ดีและภารกิจของนักคิดนักเขียนตามอุดมการณ์ของจิตร ภูมิศักดิ์(ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน) ขณะที่ทักษิณกระทำตัวตรงข้ามกับสนธิในเรื่องของส่วนรวม ส่วนใหญ่เขาเพื่อกิจการ วงศ์ตระกูล พรรคการเมืองของเขาเป็นหลัก

ประการที่สอง เมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำทุจริตผิดกฎหมาย สนธิประกาศชัดเจนว่าจะไปศาลเพื่อรับฟังคำพิพากษาตั้งแต่ศาลชั้นต้นถึงศาลอาญา ทั้งๆที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำคุกมาแต่ต้น เพื่อยืนยันว่าตนเองเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม แต่คุณสมบัติข้อนี้ไม่มีในความเป็นทักษิณ เมื่อเขาถูกพิพากษาให้จำคุกแค่ ๒ ปี เขาก็หนีคดีหัวซุกหัวซุนจนถึงวันนี้ และปฏิเสธความชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรมไทยมาโดยตลอด

"ผมไม่เคยมีความคิดที่จะไม่ไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ทั้งๆที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกทั้ง ๒ ศาล ผมทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะผมมีศักดิ์ศรี มีครอบครัว มีลูกน้องและมีพี่น้องพันธมิตรที่จะได้เชิดหน้าไม่อายใคร สำคัญที่สุดคือผมเชื่อมั่นในกระบนการยุติธรรม"(สนธิ ลิ้มทองกุล)

ประการที่สาม เมื่อถูกพิพากษาโดยศาลฎีกาให้จำคุกถึง ๒๐ ปี สนธิและพรรคพวกไม่มีใครออกมาโวยวายว่ากระบวนการยติธรรม ๒ มาตรฐาน กลั่นแกล้ง ทั้งๆที่พันธมิตรและใครต่อใครที่เชื่อมั่นศรัทธาในตัวสนธิอาจจะทำใจยอมรับได้ยาก แต่สนธิกลับบอกใครต่อใครโดยเฉพาะลูกชายคนเดียวของเขาว่า "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ขอให้ดำรงสติและเข้มแข็ง รักษาปณิธานของท่านที่ต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์และผลประโยชน์ของประชาชนไว้ตามกำลังและความสามารถที่เราพึงกระทำได้ดีที่สุด"และฝากให้ลูกชายบอกภรรยาที่กำลังนอนป่วยด้วยโรคมะเร็งว่า "บอกแม่ว่าป๋าไม่เป็นอะไร ให้แม่เข้มแข็งเอาชนะโรคร้ายให้ได้ มีชีวิตสู้ให้ถึงวันที่ป๋าจะได้ออกมาเจอแม่นะ"


"หมากับเสือมันต่างกันตรงนี้เอง คือหมามันมักจะร้องโหยหวนและวิ่งหนีเมื่อมันเจ็บปวด แต่เสือมันเงียบสงบและมีสติ ไม่หลบหนีแต่กล้าเผชิญกับความจริง อย่างมากก็นอนเลียแผลยอมรับในความพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี"

ผมไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสนธิและทักษิณโดยสิ้นเชิง บางเรื่องผมเห็นด้วยและบางเรื่องผมก็ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อประมวลบริบทต่างๆเข้าด้วยกันและชั่งน้ำหนักแล้ว ผมให้ค่าในความเป็นคนสาธารณะที่ควรค่าแก่การจดจำรำลึก เป็นแบบอย่างของพลเมืองและพลโลกในศตวรรษที่ ๒๑ กับคนอย่างสนธิมากกว่าคนอย่างทักษิณ และนี่ก็เป็นตรรกะส่วนตัวของผมซึ่งอาจจะเหมือนหรือต่างกับใครต่อใครก็ได้ ผมเคารพในความคิดเห็นของคนอื่นและในขณะเดียวกันก็อยากให้คนอื่นเคารพในความคิดเห็นของผมด้วย หากมีความเห็นไม่ตรงกันก็หักล้างกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ใช้วิธีการแบบอนารยะ ก่นด่าประนามหยามเหยียดกัน ซึ่งมันไม่มีประโยชน์
แม้ว่าผมจะมาจากบ้านนอก เป็นทายาทชาวนายากจนจากทุ่งระโนดแต่บรรพชนของผมก็ได้รับการอบรมบ่มเพาะให้เป็นคนมีศักดิ์ศรี มีเหตุผล ให้เกียรติคนอื่นเท่าที่จะเป็นได้ แต่ในขณะเดียวกัน บรรพบุรุษของพวกเราก็ไม่เคยสอนให้กลัวใคร นอกจากคนดี

ผมจึงกล้ายกย่องคนดี ติคนไม่ดี(ในทัศนะของผม)โดยไม่ต้องถามใคร โดยเฉพาะผู้มีอำนาจว่าเห็นด้วยหรือเอาด้วยกับผมไหม หากเห็นด้วยแต่ไม่เอาด้วยก็ดี หรือเห็นด้วยและเอาด้วยก็ยิ่งดี หรือแม้แต่ไม่เห็นด้วยก็ยิ่งดีใหญ่เพราะจะได้แลกเปลี่ยนความเห็นที่แตกต่างเผื่อว่าจะได้มีข้อสรุปที่ดีกว่า
ตรงบรรทัดสุดท้ายนี้ผมจึงอยากสมาทานกับทุกท่านว่า เขาเชื่อกันมานานแล้วว่า "มนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่มีเหตุผล" และผมก็พยายามจะสมาทานความเชื่อนี้สืบไปครับ

จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
๙ กันยายน ๒๕๕๙
http://politic.tnews.co.th/contents/203940/
Powered by Blogger.