นังนี่โคตรไม่ธรรมดา!!!…ปปส.รับเอง ชัดแล้ว “เปรี้ยว หั่นสยอง” ซุกปีกอิทธิพล “ยี่เซ” เข้ากลีบเมฆแล้ว เกินเอื้อมสุดๆ (รายละเอียด)



จากกรณีคดีฆาตรกรรมหั่นศพสุดสยอง “น้องแอ๋ม” สาวคาราโอเกะ ซึ่งหลังก่อเหตุผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ได้แยกย้ายกันหลบหนีไป โดย น.ส.ปรียานุช และ น.ส.กวิตา ได้หลบหนีไปทำงานที่ร้านคาราโอเกะชื่อดังที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ส่วน น.ส.จิดารัตน์หลบหนีไปกบดานอยู่ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และล่าสุดก็ถูกทางเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้แล้ว
 โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวรายงานว่า น.ส.ปรียานุช และ น.ส.กวิตา ทั้งคู่หายตัวไปแล้ว คาดว่าคงจะหลบหนีอยู่ในประเทศเมียนมา และเจ้าหน้าที่ของไทยกำลังประสานงานกับทางการประเทศเมียนมาในการตามจับกุมทั้งสองคน

ซึ่งทั้งนี้มีหลายข่าวรายงานว่าเปรี้ยวอาจหลบหนีไปอยู่ในเขตคุ้มครองของกลุ่มมูเซอ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยยังคงประสานงานกับทางการฝ่ายเมียนมาให้ช่วยดำเนินการติดตามจับตัวส่งกลับไปดำเนินคดีในไทย แต่ในทางปฏิบัติจริงค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะมูเซอ เป็นกองกำลังอิสระ มีเขตพื้นที่อิทธิพลของตัวเองชัดเจน ทางการพม่าเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง หากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง  ซึ่งก่อนหน้านี้ น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว พร้อมพวกรวม 5 คน จากการตรวจสอบประวัติ เปรี้ยวกับพวก พบว่ามีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยเฉพาะเปรี้ยวนั้น เป็นทั้งผู้ค้าและเสพ

อีกทั้งทางเจ้าหน้าที่ ปปส. ยังออกมาเปิดเผยประวัติที่ไม่ธรรมดาของ น.ส.ปรียานุช หรือ เปรี้ยว ว่ายังได้มีการติดต่อกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา โดยจากการสอบสวนประวัติเปรี้ยวเคยนำยาบ้ามาขายให้กับกลุ่มเพื่อนสาวที่ทำงานกลางคืนด้วยกัน จึงคาดว่าเปรี้ยว น่าจะไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่นี้เพื่อหลบซ่อนตัว

ทั้งนี้เองจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ ในส่วน น.ส.วริสรา หรือน้องแอ๋ม ผู้ตายนั้นเบื้องต้นป.ป.ส. ไม่พบว่ามีประวัติการใช้ยาเสพติด จึงคาดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากความแค้นส่วนตัว มากว่าจะมีใบสั่งฆ่ามาจากกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม จากโพสต์ภาพก่อนหน้านี้ของเปรี้ยว มีการโพสต์แบบใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย มีชีวิตอย่างหรูหราผ่านทางเฟซบุ๊ก เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการขยายผลว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร หากมีหลักฐานชี้ชัดว่าเงินนั้นอยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด ก็จะประสานเจ้าหน้าที่ ปปง. เตรียมเข้ายึดทรัพย์

ถึงอย่างนั้นเจ้าหน้าที่รีบดำเนินการจับกุมตัวมาให้เร็วที่สุด แต่คงยากกว่าหน่อยเพราะมีรายงานว่า เปรี้ยวพร้อมกับพวกที่กำลังหลบหนีอยู่นั้น ได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในเขตคุ้มครองของกองกำลังอิสระกลุ่มชาวเขาเผ่ามูเซอ โดยมี พ.ท. ยี่เซ เจ้าพ่อค้ายาเสพติดเป็นหัวหน้ากองกำลัง ซึ่งทางการพม่าก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่อย่างใด

พันโทยี่เซ ผู้นำมูเซอดำ

นายชัยวัฒน์ พรสกุลไพศาล หรือ พ.ท.ยี่เซ อายุ 68 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 449/2546 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 อดีตเป็นทหารของขุนส่า คุมพื้นที่ด้านตรงข้ามบ้านผาฮี้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ปัจจุบันเป็นหัวหน้าอาสาทหารพม่า เชื้อสายมูเซอ อาศัยอยู่ที่บ้านน้ำปุ๋ง มีพื้นที่อิทธิพลและแหล่งผลิตยาเสพติดที่บริเวณบ้านน้ำปุ๋งใหม่ บ้านสามปี ฝั่งพม่า ตรงข้าม ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2546 กองกำลังผาเมือง กองทัพภาค 3 สนธิกำลังกับตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 และป.ป.ส. บุกปิดล้อมพื้นที่เป้าหมายรวม 18 จุด ใน จ.เชียงราย และเชียงใหม่ แต่ไม่พบตัว แต่สามารถยึดทรัพย์สินได้กว่า 10 ล้านบาท

นับตั้งแต่รัฐบาลทหารพม่าเริ่มปฏิบัติการกดดันชนกลุ่มน้อยทั้ง 17 กลุ่มมาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงขณะนี้ปี 2553 กำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น จึงมีแผนบีบให้ชนกลุ่มน้อยยอมจำนน แต่ยังมีชนกลุ่มน้อยอย่างน้อย 3 กลุ่ม ที่พยายามต่อต้านและเพิ่มกำลังผลิตยาเสพติด เพื่อนำเงินมาซื้ออาวุธไว้ต่อกรกับรัฐบาลทหารพม่า ได้แก่ กลุ่มว้า กลุ่มกองทัพพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ (เอ็นดีเอเอ) และกลุ่มกองทัพรัฐฉาน (เอสเอสเอ) และกลุ่มของพันโทยี่เซก็เป็นหนึ่งในสามกลุ่มนี้และตัวพันโทยี่เซยังเป็นที่ต้องการตัวเป็นอย่างมาของตำรวจไทย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวและคดีอื่นเกี่ยวกับขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่อันนำมาซึ่งการก่ออาชญากรรมต่างๆ ขึ้นและเป็นผลสืบเนื่องมาจากยาเสพติดของกลุ่มนี้

พันโทยี่เซเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเผ่ามูเซอดำและเป็นหัวหน้าขบวนการค้ายาเสพในตามแนวชายแดนรายใหญ่และมีอาวุธอยู่ในครอบครองและป็นกองกำลังติดอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะต่อกรกับทางรัฐบาลเมียนมาร์ กองกำลังของพันโทยี่เซเป็นกองกำลังที่อยู่นอกกฎหมายในเมียนมาร์เนื่องจากนี้ยังได้รับการช่วยเหลือจากนักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลและแน่นอนธุรกิจมืดพวกนี้มีทั้งที่เป็นของนักการเมืองและเครือญาติเองและที่เป็นของลิ่วล้อ หัวคะแนน หรือกลุ่มทุนที่นักการเมืองคนนั้นให้การอุปถัมภ์ค้ำชู ให้ความคุ้มครอง ถ้าถูกจับนักการเมืองก็จะใช้บารมี จึงทำให้กลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ยังคงมีอยู่และยากที่รัฐจะต่อกรกับกลุ่มเหล่านี้หรือกองกำลังของพันโทยี่เซ เหตุการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นบทบาทสำคัญของรัฐเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กลุ่มหรือขบวนการค้ายาเสพเหล่านี้เติบโตอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐเมียนมาร์ถึงแม้ว่าจะมีการออกมาชี้แจงถึงการแก้ปัญหาแต่ก็ยังเห็นว่าปัญหาที่แก้นั้นเป็นการแก้ที่ปลายเหตุมิใช่ต้นเหตุเลยทำให้กลุ่มอาชญากรรมนี้ดำเนินกิจการผลิตยาเสพติดส่งขายในอาเซียนได้อยู่ในปัจจุบัน
**หมายเหตุ ในบางกรณี เป็นสื่อกลางในการรวบรวมบทความ และนำเสนอข้อมูลที่มีอยู่แล้วในสื่อต่างๆ โดยเราจะอ้างอิง ให้เครดิต ถึงแหล่งที่มาในทุกๆ ครั้งไป

Powered by Blogger.